หลี่เมิ่งซีคีบกับข้าวให้เหล่าไท่จวินอย่างระมัดระวัง เหล่าไท่จวินคีบเนื้อชิ้นหนึ่งที่นางวางลงในจานตรงหน้าใส่ปาก ก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจ “เนื้อนี้ปรุงอย่างไรหรือ เข้าปากแล้วละลายทันที กลืนลงไปแล้วยังหลงเหลือกลิ่นหอมอ่อนๆ ด้วย”
หลี่เมิ่งซีเห็นเหล่าไท่จวินชอบก็คีบเนื้อชิ้นเล็กให้อีกชิ้น ตอบว่า “เหล่าไท่จวิน นี่คืออวี้จู๋ตุ๋นเนื้อที่หลานบอกเจ้าค่ะ ล้างเนื้อหมูให้สะอาดก่อน แล้วใช้น้ำเดือดลวกเลือดทิ้งไป ช้อนออกมาหั่นเป็นชิ้น จากนั้นนำเนื้อกับอวี้จู๋ที่หั่นเป็นชิ้น ต้นหอม ขิง สุราปรุงรส เกลือใส่ลงในหม้อ เติมน้ำสะอาดในปริมาณที่เหมาะสม ต้มด้วยไฟอู่จนเดือด แล้วค่อยใช้ไฟเหวินตุ๋นจนเปื่อย สุดท้ายจึงตักอวี้จู๋ ต้นหอม ขิงขึ้นมา เหยาะพริกไทยป่นเล็กน้อยก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย กลิ่นหอมสดชื่นเมื่อครู่นี้เป็นกลิ่นอวี้จู๋เจ้าค่ะ อวี้จู๋มีสรรพคุณบำรุงธาตุหยิน เพิ่มความชุ่มชื้น บรรเทาความกลัดกลุ้ม ดับกระหาย ดังนั้นอาหารจานนี้ไม่เพียงอร่อย แต่ยังเหมาะสำหรับคนที่ป่วยจากความร้อน ธาตุหยินถูกทำร้าย กระหายน้ำ รู้สึกว้าวุ่นใจ ร่างกายอ่อนแอผอมแห้ง ปวดเอวปวดเข่า ระบบย่อยไม่ดี คนที่ไม่ป่วยกินแล้วก็สามารถป้องกันโรคได้เจ้าค่ะ”
“อืม อร่อยๆ” เหล่าไท่จวินพูดพลางผงกศีรษะ
“สะใภ้รองทำอาหารอร่อยจริงๆ เรียนมาจากใครหรือ” นายหญิงใหญ่ถามเหมือนไม่ใส่ใจ
หลี่เมิ่งซีรีบตอบ “มารดาที่บ้านเดิมชอบเข้าครัวเจ้าค่ะ ลูกมักจะคอยดูอยู่ข้างๆ ดูมากเข้าจึงทำเป็น ส่วนสรรพคุณทางยาของสมุนไพรพวกนี้ ลูกอ่านมาจากตำราเจ้าค่ะ”
รอจนทุกคนวางตะเกียบแล้ว หลี่เมิ่งซีจึงพบว่าอาหารที่นางทำล้วนถูกกินจนเห็นก้นจาน นี่เป็นสิ่งที่พบเห็นได้ไม่บ่อยนักในสกุลใหญ่อย่างคฤหาสน์สกุลเซียว เซียวอวิ้นยังฉีกยิ้มให้พี่สะใภ้รองอย่างเกรงใจ เพราะอาหารส่วนใหญ่ล้วนถูกเขากับเซียวชิงกินจนเกลี้ยง เซียวอวิ้นลอบคิดในใจ วันหน้าต้องหาหนทางไปขอข้าวกินที่เรือนพี่รองบ่อยๆ เสียแล้ว
เก็บโต๊ะออกไปแล้ว รอจนนายหญิงใหญ่ เซียวชิง เซียวอวิ้นจากไป เหล่าไท่จวินจึงพูดกับหลี่เมิ่งซี “เมื่อวานได้ซีเอ๋อร์นวดหลังให้ข้าแล้วสบายมาก รู้สึกว่าไหล่เบาขึ้นมากจริงๆ เมื่อคืนจึงลองให้ซื่อฮว่าบีบนวดดู กลับไม่รู้สึกอะไรแม้แต่น้อย วันนี้ซีเอ๋อร์มานวดให้ข้าอีกเถอะ แล้วให้ซื่อฮว่าคอยดูอยู่ข้างๆ”
หลี่เมิ่งซีรีบรับคำ ล้างมือและก้าวเข้าไปบีบนวดให้เหล่าไท่จวินเบาๆ คิดถึงเรื่องตลกที่เคยฟังมาเมื่อชาติก่อน นวดไปพลางก็พูดกับเหล่าไท่จวิน “หลานนึกถึงเรื่องตลกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ น่าสนุกทีเดียวเจ้าค่ะ”
“ข้ากำลังเบื่ออยู่พอดี ซีเอ๋อร์รีบเล่ามาเถอะ!” เหล่าไท่จวินว่า
หลี่เมิ่งซีพยักหน้า เริ่มเล่าด้วยน้ำเสียงเนิบช้าแผ่วเบา “ว่ากันว่ามีอยู่วันหนึ่ง คหบดีสูงวัยจะออกเดินทางไกล ก่อนออกจากบ้าน เขาบอกลูกชายว่าถ้ามีคนมาบ้านเรา ถามว่าต้นไม้เก่าแก่หน้าประตูหายไปไหน ให้เจ้าตอบว่าแก่แล้วจึงถูกขายไป ถ้าถามว่าป่าไผ่ในเรือนด้านหลังหายไปไหน ให้เจ้าตอบว่าถูกย่ำยีไปตอนกลียุค ถ้าถามว่าไฉนยุ้งฉางบ้านเราจึงมีข้าวสารมากมายถึงเพียงนั้น ให้เจ้าตอบว่านี่เป็นของที่ท่านพ่อท่านแม่ข้าเก็บเล็กผสมน้อย ถ้าถามว่าภาพปีใหม่บนผนังบ้านเราเหตุใดจึงดีเช่นนี้ ให้เจ้าตอบว่านี่เป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ บุตรชายของคหบดีผงกศีรษะและทวนคำพูดอีกครั้ง จากนั้นคหบดีก็จากไปอย่างวางใจ
วันต่อมามีแขกมาเยือน พอแขกเข้ามาในเรือน บุตรชายของคหบดีก็ออกมาต้อนรับ แขกถามว่าพ่อของเจ้าล่ะ บุตรชายของคหบดีตอบ แก่แล้วถูกขายไป แขกรู้สึกแปลกใจมากจึงถามต่อ แม่ของเจ้าล่ะ บุตรชายของคหบดีตอบ ถูกย่ำยีไปตอนกลียุค แขกส่ายหน้าอย่างจนใจ ก่อนจะเข้าไปในเรือน เห็นบนพื้นมีขี้ไก่อยู่มากมายจึงถามว่าไฉนพื้นบ้านเจ้าจึงมีขี้ไก่มากมายถึงเพียงนี้ บุตรชายของคหบดีตอบ นี่เป็นของที่ท่านพ่อท่านแม่ข้าเก็บเล็กผสมน้อย แขกรู้สึกขบขันอย่างยิ่งจึงถามต่อ ไฉนเจ้าจึงโง่งมเช่นนี้ บุตรชายของคหบดีตอบ นี่เป็นสิ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ”
เหล่าไท่จวินอดไม่อยู่หัวเราะฮ่าๆ “โลกนี้มีคนหัวทึ่มทื่อขนาดนี้จริงๆ หรือ ไม่รู้จักพลิกแพลงแม้แต่น้อย เห็นทีในหัวคงมีแต่แป้งเปียก”
สะใภ้ใหญ่ฟังแล้วแทบพ่นน้ำชาออกมา ยิ้มพูดอย่างไม่หลงเหลือความสุขุมสง่างาม “สะใภ้รองช่างเป็นคนมีไหวพริบจริงๆ”
“นั่นสิ เป็นคนที่หัวไวโดยแท้ มีซีเอ๋อร์อยู่ข้างกาย ข้าคงอยู่ได้อีกหลายปี วันหน้าจวิ้นเอ๋อร์หายดีแล้ว ซีเอ๋อร์มาอยู่เป็นเพื่อนข้าคลายเหงาบ่อยๆ ก็แล้วกัน”
สาวใช้ด้านข้างกลั้นหัวเราะไม่อยู่ ฟังคำพูดเหล่าไท่จวินแล้วต่างก็พากันเออออตาม ชมเชยสะใภ้รองกันใหญ่ บรรยากาศพลันครึกครื้น เหล่าไท่จวินกับสะใภ้ใหญ่ยิ้มฟังอยู่ด้านข้าง
พวกดีแต่ประจบสอพลอ อย่าเห็นว่ายามนี้พวกนางพูดจาน่าฟังเลย หากวันใดเหล่าไท่จวินไม่ชอบนางแล้ว คนพวกนี้ก็คงเหยียบย่ำซ้ำเติมอย่างไม่เกรงใจ ทั้งยังจะออกแรงมากกว่าทุกคนเสียด้วย หลี่เมิ่งซีฟังคำยกยอของสาวใช้และบ่าวหญิงสูงวัยทั้งหลายแล้ว นางก็ปรนนิบัติเหล่าไท่จวินอย่างระมัดระวังยิ่งกว่าเดิม