จือชุนเห็นทั้งสองไม่พูดจา นางจึงทำปากยื่นพูดอย่างไม่พอใจ “เซียมซีที่จือชิวได้เป็นเซียมซีกลางค่อนไปดี ดีกว่าของบ่าวมากเจ้าค่ะ”
“แล้วคำว่า ‘ป่วยไข้ได้ยาดีกลับแข็งแรง’ หมายความว่าอย่างไร”
“ซือฟู่บอกว่าเนื้อหาในเซียมซีของจือชิวคือ ‘ฤดูวสันต์หมู่มวลดอกไม้ผลิบาน โชคลาภมงคลมาเยือน’ ประโยคสุดท้ายหมายถึงทุกเรื่องหากได้พบผู้สูงศักดิ์ล้วนเป็นมงคล สะใภ้รอง บ่าวรู้สึกว่าเซียมซีนี้แม่นยำทีเดียว บ้านจือชิวประสบเคราะห์ร้าย ถูกบังคับให้ขายตัวเป็นบ่าว ตั้งแต่ได้พบกับสะใภ้รอง ทุกอย่างก็ดีขึ้น”
จือชิวฟังคำพูดของจือชุนแล้วผงกศีรษะ “บ่าวก็รู้สึกว่าเซียมซีนี้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก ตอนนี้ที่บิดากับพี่ชายบ่าวมีชีวิตที่ดี ล้วนเป็นเพราะได้สะใภ้รองสนับสนุน บิดาของบ่าวมักบอกว่าบุญคุณใหญ่หลวงของสะใภ้รอง พวกเราสกุลหลี่จะไม่มีวันลืม ชาติหน้าต่อให้เป็นวัวเป็นม้าก็ต้องตอบแทน เซียมซีของสะใภ้รองตีความได้ว่าอย่างไรเจ้าคะ”
“เซียมซีที่ข้าได้ก็เป็นเซียมซีกลางค่อนไปดีเหมือนกัน ไม่ต่างจากจือชุนมากนัก ต้าซือเตือนข้าว่าเรื่องทุกอย่างอย่าใจร้อนเกินไป รอให้ถึงเวลาก่อน”
“เช่นนั้นความหมายของจิ้งอวิ๋นต้าซือก็คือ…พวกเราอย่าเพิ่งรีบออกจากคฤหาสน์สกุลเซียวหรือเจ้าคะ” จือชุนพูดต่อ
หลี่เมิ่งซีค้อนควัก “ต้าซือจะรู้ได้อย่างไรว่าเราจะออกจากคฤหาสน์สกุลเซียว ใครบอกว่าเซียมซีนี้หมายถึงเรื่องนี้กันเล่า”
“สะใภ้รองไม่ได้เสี่ยงเซียมซีเพื่อถามเรื่องนี้โดยเฉพาะหรือเจ้าคะ”
หลี่เมิ่งซีอึ้งไป เรื่องนี้นางก็ตอบไม่ถูกจริงๆ ว่าตนเองเสี่ยงเซียมซีด้วยเหตุใด จึงนิ่งเงียบไปชั่วอึดใจ
พูดถึงคฤหาสน์สกุลเซียว จิตใจที่ผ่อนคลายของทั้งสามก็กลับมาหนักอึ้งอีกครั้ง ในรถม้าพลันเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงม้าย่ำไปบนพื้นหินดังกึกๆ กับเสียงตะโกนของคนขับรถม้าดังมาเป็นระยะ
ระหว่างที่เงียบงันรถม้าก็หยุดลง จือชิวเลิกมุมหนึ่งของม่านรถขึ้นเบาๆ แล้วมองออกไปข้างนอก ที่แท้ก็ถึงคฤหาสน์สกุลเซียวโดยไม่รู้ตัว เข้ามาถึงประตูชั้นในแล้ว เซียวจวิ้นก็ลงจากม้า เขากำลังพูดอะไรบางอย่างกับเป่าจู
เห็นเซียวจวิ้นหันกลับมามองรถม้า จือชิวจึงปล่อยม่านลง
ไม่นานก็ได้ยินเซียวซย่าเดินมาที่หน้ารถแล้วพูดผ่านม่าน “เรียนสะใภ้รอง นายหญิงใหญ่มีธุระต้องการเชิญคุณชายรองไปเรือนหยั่งซิน คุณชายรองสั่งให้บ่าวส่งสะใภ้รองกลับเรือนเซียวเซียงก่อนขอรับ”
สามคนในรถม้ามองหน้ากันไปมา จือชิว จือชุนใบหน้าแดงก่ำ เห็นพวกนางกำลังจะพูด หลี่เมิ่งซีจึงแตะนิ้วบนริมฝีปากให้พวกนางเงียบเสีย แล้วส่งเสียงออกไปนอกรถว่า “ข้ารู้แล้ว พวกเราไปเถอะ”
สิ้นเสียงของหลี่เมิ่งซี คนขับรถม้าก็ส่งเสียง รถม้าจึงเคลื่อนตัวช้าๆ อีกครั้ง มุ่งตรงไปยังเรือนเซียวเซียง
หลี่เมิ่งซีเอนกายลงบนตั่งนุ่มอย่างอ่อนเพลีย ด้วยรู้สึกเหนื่อยแล้วจริงๆ นางยื่นมือไปรับน้ำชาที่จือซย่าส่งให้ จิบคำหนึ่งแล้วจึงพรูลมหายใจยาว วุ่นวายตลอดช่วงเช้า รู้สึกหิวแล้วจริงๆ ขณะกำลังจะบอกให้ยกสำรับ นางก็ได้ยินจือชุนพูด “แม่นางซิ่วผู้นี้เหลวไหลขึ้นทุกวัน มีความสำรวมเยี่ยงกุลสตรีเสียที่ไหน สะใภ้รองยังไม่ทัน…ยังไม่ทันทำอะไรก็บุกมารังแกกันถึงที่เสียแล้ว แย่งตัวคุณชายรองไปต่อหน้าข้ารับใช้มากมาย”
จือชุนอยากพูดว่า ‘สะใภ้รองยังไม่ทันถูกหย่า แม่นางซิ่วก็บุกมารังแกถึงที่’ แต่ยับยั้งไว้ทันจึงเปลี่ยนคำพูดเสีย นางอดกลั้นมาตลอดทาง ในที่สุดก็ได้บ่นออกมายาวเหยียด
จือชิวเห็นด้วย “นั่นสิ สะใภ้รองกับคุณชายรองไปไหว้พระด้วยกัน เดิมทีคุณชายรองควรส่งท่านกลับมา จะเชิญคนก็ควรมาเชิญที่เรือนเซียวเซียงสิ เป็นเรื่องใหญ่เช่นมารดาเสียก็ว่าไปอย่าง มีใครไปดักรอที่ประตูชั้นในแบบนี้บ้าง เชิญคุณชายรองต่อหน้าข้ารับใช้มากมายเช่นนั้น ถือเป็นการหักหน้าสะใภ้รองยิ่งนัก เช่นนี้จะต่างอะไรกับการขวางทางและปล้นชิง! ลองให้เหล่าไท่จวินตัดสินดูว่าทำแบบนี้ชอบด้วยเหตุผลหรือไม่”
คุณชายรองกับสะใภ้รองไปไหว้พระด้วยกัน ทำให้ความตึงเครียดระหว่างทั้งสองผ่อนคลายลงอย่างคาดไม่ถึง เรื่องนี้จือชุนรู้สึกดีใจมาตลอดทาง นางคิดเสมอว่าสะใภ้รองกับคุณชายรองเป็นเพราะยังอ่อนเยาว์เจ้าอารมณ์ ไม่มีใครยอมใคร ถึงได้ขัดแย้งกันเช่นนี้ บัดนี้มีการเริ่มต้นที่ดีแล้ว สถานการณ์ย่อมค่อยๆ ดีขึ้นเองได้แน่ คิดไม่ถึงว่าเพิ่งจะเข้ามาในคฤหาสน์ คุณชายรองจะถูกนายหญิงใหญ่เรียกตัวไปเช่นนี้เสียแล้ว
ถึงจะบอกว่ามีธุระ ทว่ากระทั่งผียังรู้ว่าเป็นเรื่องอะไร นายหญิงใหญ่เป็นถึงประมุขหญิงของบ้านกลับทำเรื่องเช่นนี้!