อวิ๋นจ้าวมองดูด้วยความชอบใจ กระทั่งลู่อู๋เซิงยังคิดว่าทำเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน ต่อให้จะเป็นแค่การเล่นละครตบตา กระนั้นก็สาแก่ใจเขาดีเหลือเกิน ทั้งที่แต่ก่อนยามที่เขาเห็นสตรีนางอื่นทำตัวเอาแต่ใจนั้น รู้สึกว่าพวกนางช่างดื้อรั้นเป็นเด็กๆ แต่พอเห็นอวิ๋นจ้าวทำอย่างเดียวกันนี้ เขากลับรู้สึกว่านางเฉลียวฉลาดซุกซน
“เห็นพวกเจ้าคืนดีกันเช่นนี้ ข้าก็วางใจแล้ว” ซ่งโหย่วเฉิงเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปบอกเสี่ยวเอ้อร์ให้มาเพิ่มถ้วย”
“ไม่ต้อง ข้ากับพี่ลู่ใช้ถ้วยเดียวกันก็ได้ จะได้ไม่ต้องไปขอเพิ่ม” แววตาอวิ๋นจ้าวมีนัยแอบแฝง “เพราะอีกประเดี๋ยวห้องนี้ก็จะเหลือแค่คนสองคน จะขอถ้วยมาเพิ่มทำไมกัน”
ซ่งโหย่วเฉิงเริ่มสัมผัสได้ถึงสถานการณ์ที่ผิดปกติ พวกเขาคืนดีกันเช่นนี้ เกรงว่าคงเปิดใจพูดคุยกันจนกระจ่างแล้ว หากเป็นเช่นนั้นสถานะของเขาก็จะยิ่งสุ่มเสี่ยงและอยู่ในภาวะที่น่าอึดอัด เขาลอบสังเกตสีหน้าคนทั้งสอง ก็ยิ่งแน่ใจความคิดของตนเอง
“พี่ซ่ง ว่ากันว่าเห็นลายมือดุจเห็นตัวคน ท่านมีลายมือที่งดงาม เป็นคนสุภาพนอบน้อม อาจารย์ยังชื่นชมอยู่บ่อยครั้ง ขนาดท่านพ่อยังบอกให้ข้าดูท่านเป็นแบบอย่าง ให้ข้าขยันฝึกเขียนพู่กัน จนถึงวันนี้ข้าถึงได้เข้าใจ ตัวท่านหาใช่แค่มีลายมืองดงาม ท่านแทบจะเป็นดั่งพระโพธิสัตว์กวนอิมพันมือในวิหาร มือหนึ่งข้างก็คือหนึ่งลายมือ ทำให้เท็จจริงปะปน ถึงขั้นพระโพธิสัตว์ยังยากจะแยกแยะได้ว่าลายมือนั้นเขียนมาจากมือข้างไหนของพระองค์ หรือไม่ก็มาจาก…มือของท่าน”
ซ่งโหย่วเฉิงตกตะลึงไปทันใด คำพูดของอวิ๋นจ้าวอาจดูสับสนคลุมเครือ หากเป็นคนนอกอาจฟังไม่ออกและไม่เข้าใจ ทว่าซ่งโหย่วเฉิงมีหรือจะไม่รู้ถึงความนัยนั้น ใบหน้าของเขาซีดขาว ริมฝีปากไร้สีเลือด ร่างกายยังรู้สึกหนาวยะเยือก ต่อให้ในห้องนี้จะมีไฟลุกโชนอยู่ แต่เขากลับไม่รับรู้ถึงไออุ่นเลยสักนิดเดียว
เขารู้สึกหนาว หนาวเข้าไปถึงก้นบึ้งหัวใจ
ซ่งโหย่วเฉิงนั่งนิ่งอยู่เช่นนั้น คนที่นั่งตรงข้ามกันคือสหายสนิทร่วมสำนัก และเป็นคนที่เขามีใจริษยามาตั้งแต่เด็ก แต่ต่อให้เขาจะริษยาเพียงไร อีกฝ่ายก็เป็นถึงบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ เขารู้แก่ใจดีว่าตนเองมิอาจเทียบได้ จึงเอาอย่างคนรุ่นก่อนที่กล้ำกลืนความอดสูเข้ามาเป็นสหายสนิทของลู่อู๋เซิง เพื่อเสาะหาโอกาสทางการค้าให้กับกิจการสกุลซ่งที่ใกล้ล่มจมเต็มที จนกระทั่งอวิ๋นจ้าวปรากฏตัวขึ้น ซึ่งเรื่องของนางก็ทำให้เขาไม่อยากกล้ำกลืนความอดสูที่ด้อยกว่าลู่อู๋เซิงอีกต่อไป
ซ่งโหย่วเฉิงรู้สึกสนใจคุณหนูสกุลอวิ๋นตั้งแต่แรก เพราะว่านางมีนิสัยที่แตกต่างไปจากสตรีบ้านอื่นโดยสิ้นเชิง ต่อมาจึงพบว่าลู่อู๋เซิงเองก็ชอบนาง และเขาก็พบว่านางเองก็ชอบลู่อู๋เซิงด้วย
ความริษยา ความแค้นเคือง ค่อยๆ กองสุมอยู่ในใจเขาจนก่อเกิดเป็นหอสูง ในที่สุดวันหนึ่งมันก็ล้มครืนลงมา
เขาคิดว่าต่อให้ตนเองจะไม่อาจได้อวิ๋นจ้าวมาครอบครอง แต่อย่างน้อยก็ไม่อยากเห็นลู่อู๋เซิงเป็นสามีของนาง นางจะแต่งให้กับผู้ใดก็ได้ แต่ต้องไม่ใช่แต่งให้ลู่อู๋เซิง! ในฐานะบุตรชายท่านแม่ทัพใหญ่ผู้มีทุกสิ่งอย่างเพียบพร้อมแล้ว หากต้องขาดสตรีไปสักนางหนึ่งจะเป็นอะไรไปเล่า เขาไม่ยอมปล่อยให้ลู่อู๋เซิงมีชีวิตที่สมบูรณ์พร้อมเช่นนั้นแน่
นึกไม่ถึงว่าแผนการที่เขาอุตส่าห์เตรียมไว้อย่างดี กลับมาถูกเปิดโปงรวดเร็วถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้เขาต้องมาอับอายต่อหน้าด้วย
สีหน้าของซ่งโหย่วเฉิงไม่เพียงแค่ซีดขาว หากยังมีขี้เถ้าปกคลุมเอาไว้อีกชั้นหนึ่ง ราวกับใบหน้าของคนตายที่ไม่เหลือพลังชีวิตเลยสักเศษเสี้ยว
“ไมตรีของสหายร่วมสำนักระหว่างท่านกับถือว่าข้าสิ้นสุดแค่เพียงเท่านี้ จดหมายตัดสัมพันธ์ที่ท่านปลอมลายมือข้าเขียนส่งให้อวิ๋นจ้าว จดหมายฉบับนั้นข้าขอคืนให้ เนื้อความที่ในจดหมายว่าไว้ก็เหมือนสิ่งที่ข้าบอกกับท่านในวันนี้ ความนัยของจดหมายมีแค่ประโยคเดียว ‘ตัดขาดสิ้นสัมพันธ์ในชาตินี้’ ”
ซ่งโหย่วเฉิงนิ่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็เงยหน้ามองลู่อู๋เซิง เห็นสีหน้าอีกฝ่ายเฉยชาไม่ใส่ใจ ไฟโทสะที่สุมในอกพลันระเบิดออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ เขาแทบจะกระโดดลุกพรวดขึ้นมา “ทำไมเจ้าถึงไม่เสียใจ?! สหายแทงเจ้าดาบหนึ่ง เหตุใดเจ้าถึงไม่รู้สึกอะไร ไม่ใช่ว่าเจ้าให้ความสำคัญกับสัมพันธ์แน่นแฟ้นของพวกเราหรอกหรือ เจ้าเคยบอกไม่ใช่หรือว่าข้าเป็นสหายที่สนิทที่สุด แล้วเพราะอะไรข้าทำกับเจ้าถึงเพียงนี้แล้ว ยุยงให้เจ้ากับนางผิดใจกัน กลับไม่เห็นเจ้าโกรธเคืองเลยสักนิด”
ลู่อู๋เซิงเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย กล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้าไม่คู่ควร”
ซ่งโหย่วเฉิงตกตะลึง ความหยิ่งในศักดิ์ศรีถูกทำลายลงในชั่วพริบตา เขาโซเซอยู่ก้าวหนึ่ง ก่อนจะล้มลงบนม้านั่ง เป็นเช่นคนไร้วิญญาณ ไม่อาจขยับเขยื้อนไปชั่วขณะ
(ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.ย. 62)