สถานที่เซ่นไหว้จัดอยู่กลางห้องโถงใหญ่ของจวนสกุลลู่ แต่เดิมก็เป็นจวนหลังใหญ่ที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทาน ฉะนั้นจึงมีอาณาบริเวณกว้างขวางกว่าคฤหาสน์ทั่วไป โดยเฉพาะห้องโถงใหญ่ของจวน ซึ่งยามนี้ประดับผ้าแพรสีขาวเต็มไปหมด บนพื้นมีเงินกระดาษกระจัดกระจาย ในกระถางธูปจุดธูปปักเอาไว้ กลุ่มควันสีขาวลอยอบอวลอยู่รอบโลงศพ ยิ่งทำให้อวิ๋นจ้าวตระหนักได้ว่านี่ไม่ใช่ความฝัน
นางไม่ได้มีนิสัยสงบเสงี่ยมที่ชอบเก็บงำความรู้สึกเฉกเช่นสตรีทั่วไป เรื่องปีนกำแพงขึ้นต้นไม้สำหรับนางนั้นถือเป็นเรื่องธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นแผนที่จวนแม่ทัพนางยังจดจำใส่ใจได้เป็นอย่างดี โดยจะมีกิ่งต้นสาลี่ในเรือนหลังยื่นออกมานอกกำแพง กระโดดเพียงนิดก็สามารถปีนกิ่งไม้พลิกข้ามกำแพงได้ นับว่าเข้ามาขโมยของได้ง่ายดายยิ่งนัก
นางเคยเอ่ยเรื่องนี้กับลู่อู๋เซิงมาก่อน แต่เขากลับไม่ได้สั่งให้บ่าวไพร่ตัดแต่งกิ่ง นางถามว่าเพราะเหตุใด เขาก็เคาะศีรษะนาง ค้อมตัวลงสบตาแล้วตอบอย่างขบขันว่า ‘นอกจากเจ้าแล้ว ใครจะบังอาจปีนกำแพงจวนแม่ทัพ’
อวิ๋นจ้าวนั่งยองหลบอยู่ในมุมมืดตรงระเบียงทางเดิน มองดูโลงไม้ตั้งตระหง่านอยู่ไกลๆ ด้วยจิตใจเหม่อลอย
บ่าวรับใช้สกุลลู่ประมาณเจ็ดแปดคนเฝ้าอยู่ในห้องโถง แม้จะล่วงเข้าสู่ยามค่ำคืนแล้วก็ยังมีคนเดินเข้าออกอย่างต่อเนื่อง สลับผลัดเปลี่ยนกันเฝ้าโลงศพไว้ อวิ๋นจ้าวอยากหาโอกาสเข้าไปดูหน้าลู่อู๋เซิง แต่ก็ยังทำไม่สำเร็จ วันนั้นที่นางส่งร่างเขากลับมา บ่าวไพร่ที่จวนนี้ดูไม่เป็นมิตรกับนางเท่าไรนัก คงเป็นเพราะพวกเขารู้ดีว่าช่วงหลายวันก่อนหน้านี้ คุณชายของพวกเขาต้องรู้สึกแย่เพียงใดกับเรื่องของนาง
นางหลบซ่อนตัวจากพวกบ่าวไพร่ที่เดินเข้าออกอย่างระมัดระวัง ไม่แน่นางอาจจะมีโอกาสแอบเข้าไปดูหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย แต่จู่ๆ ก็มีคนตะคอกเสียงดัง
“ใครอยู่ตรงนั้น!”
ทันทีที่เสียงนี้ดังขึ้น บ่าวไพร่ที่เฝ้าโลงศพต่างลุกพรวดมองไปทางตำแหน่งที่อวิ๋นจ้าวซ่อนตัวอยู่ อวิ๋นจ้าวนิ่งงัน ทว่าสุดท้ายนางก็ลุกขึ้นยืน ไม่ทำตัวลับๆ ล่อๆ อีก ใบหน้าของหน้าเพิ่งจะปรากฏให้เห็น คนทั้งหลายก็กระซิบกระซาบกันด้วยความตกใจ ไม่นานก็เงียบสงบลง พวกเขาจ้องนางเขม็งอย่างไม่ละสายตา
“ข้า…” อวิ๋นจ้าวเงียบไป แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงสงบเยือกเย็นว่า “ข้าอยากเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย”
รอให้แม่ทัพลู่กลับมา ร่างของลู่อู๋เซิงก็จะถูกเคลื่อนย้ายไปฝังแล้ว นับจากนี้นางก็ได้แต่ไปหาเขาที่หน้าหลุมศพ มองดูแผ่นป้ายศิลาอันเย็นเยียบ ด้วยเหตุนี้ไม่ว่าอย่างไรนางก็อยากจะเห็นหน้าเขาเป็นครั้งสุดท้าย
บ่าวรับใช้แต่ละคนมองหน้ากันไปมา จากความนิ่งเงียบแปรเปลี่ยนเป็นความเดือดดาล จากความเดือดดาลกลายเป็นการตำหนิอย่างดุดัน “ตอนคุณชายยังอยู่ท่านกลับทำร้ายเขาไปแบบนั้น มาวันนี้ยังเสแสร้งวิ่งมาถึงห้องเซ่นไหว้ทำไม! ท่านเป็นอะไรกับคุณชาย!”
อวิ๋นจ้าวไม่โกรธเคือง ทุกถ้อยคำล้วนบาดหู นางรู้สึกว่าตนเองทำเรื่องแย่ๆ เอาไว้มาก ยามนี้ถึงได้รู้ตัวว่าย่ำแย่ถึงขีดสุดจริงๆ นางทั้งหงุดหงิด สำนึกเสียใจ หมดเรี่ยวแรง จนปัญญาจะโต้แย้งกลับไปสักประโยค
อาฉางเด็กรับใช้ของลู่อู๋เซิงรังเกียจอวิ๋นจ้าวเสียเต็มประดา แต่พอเห็นนางโดนตำหนิเช่นนี้แล้ว ตนเองกลับอ้าปากไม่ออก ยิ่งรู้สึกเสียใจมากกว่าเดิม น้ำเสียงสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “พวกเจ้าว่านางเช่นนี้ คุณชายจะต้องเสียใจมากแน่”
เสียงของเขาไร้น้ำหนักเกินไปจึงไม่มีผู้ใดได้ยิน ทว่าตอนนี้กลับมีเสียงตะโกนดังขึ้น
“หยุดพูดได้แล้ว!” น้ำเสียงก้องกังวานหนักแน่นดุจระฆังใบใหญ่ ทุกคนจึงสงบปากได้ทันที
พ่อบ้านของจวนสกุลลู่ได้ยินเสียงจึงเร่งรุดมาดู พอเดินเข้าห้องมาก็กวาดตามองบรรดาบ่าวไพร่ เอ่ยอย่างเคร่งขรึมว่า “ใครใช้ให้พวกเจ้าบังอาจตำหนิคุณหนูอวิ๋นให้ห้องโถงนี้ รบกวนความสงบของคุณชาย พวกเจ้ารีบออกไปให้หมดเลย!”
บ่าวรับใช้ที่ใจกล้ายังอยากจะตำหนิอีกสองสามประโยค แต่พอสบตากับพ่อบ้านลู่แล้วก็ตกใจเสียขวัญ จำต้องเดินออกจากห้องไป
พ่อบ้านลู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยเรียกอาฉางให้เปิดโลงที่ยังไม่ทันตอกตะปูปิดฝา แล้วหันมาค้อมกายให้อวิ๋นจ้าว “เชิญขอรับ”
พอกล่าวจบก็พาอาฉางเดินออกไป โดยไม่กล่าวอะไรมากกว่านี้แม้แต่คำเดียว
อวิ๋นจ้าวรู้สึกซาบซึ้งใจในตัวเขามาก นางรีบเดินไปที่ข้างโลงศพ ชั่วขณะที่ยื่นศีรษะก้มมอง พลันรู้สึกว่าร่างกายแข็งเกร็งจนไม่อาจขยับ ปะปนด้วยความรู้สึกผิดและหวาดกลัว