ลู่อู๋เซิงนอนอยู่ในโลงไม้ที่ปูด้วยผ้าแพร เสื้อผ้าของเขาครบสมบูรณ์ดี อยู่ในอาการสงบคล้ายคนกำลังนอนหลับ ใบหน้าของเขายังมีรอยแผล คงเป็นรอยแผลที่ไม่มีวันหายอีกแล้ว เนื่องจากอากาศหนาวเหน็บ ร่างกายของเขาจึงไม่เปลี่ยนแปลงไปเลย มีเพียงแค่สีหน้าที่ดูไม่ดีเท่าใดนัก
อวิ๋นจ้าวมองดูเขาอยู่เฉยๆ โดยไม่กล้าเอ่ยเรียก นางกลัวว่าหากเรียกไปแล้วจะไม่มีเสียงเขาตอบกลับมา นางยื่นมืออันสั่นเทาออกมา ใช้ปลายนิ้วนุ่มนิ่มปัดแก้มเขาแผ่วเบา สัมผัสที่ปลายนิ้วเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง นี่ไม่ใช่ความเย็นอย่างที่ร่างกายคนเป็นควรจะมีเลย
“ลู่อู๋เซิง ท่านหนาวหรือไม่” นางหยิบเตาอุ่นในอกออกมาวางข้างมือเขาอย่างระมัดระวัง แล้วกระซิบบอกว่า “ในนี้จะต้องหนาวมากแน่ ท่านอุ่นมือหน่อยเถิดนะ”
จนกระทั่งเรียกชื่อเขาแล้ว อวิ๋นจ้าวถึงได้สติกลับมา นางรีบเอามือปิดปากด้วยความตกใจ ถอยหลังไปอย่างร้อนรน ไม่รู้จะทำอย่างไรดี เนิ่นนานกว่าจะสงบจิตใจลงได้ ถึงค่อยเดินกลับมา
ลู่อู๋เซิงตายแล้ว ตายแล้วจริงๆ เดิมทีเขายังมีชีวิตอยู่ได้อย่างน้อยอีกสิบปี กลับต้องมาจบชีวิตลงทั้งอย่างนี้
“ลู่อู๋เซิง…”
อวิ๋นจ้าวทรุดตัวลงกับพื้น หัวเข่ากระแทกพื้นเย็นเฉียบอย่างแรง ความรู้สึกปวดแปลบลามไปทั่วร่าง นางคว้าขอบโลงไม้เอาไว้ไม่ปล่อย ออกแรงจนหลังมือขาวสะอาดเห็นเส้นเลือดขึ้นชัดเจน
นางหลับตาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ให้ข้ากลับไปเถอะ อีกสักครั้งก็ยังดี”
ค่ำคืนที่มีหิมะตกเป็นช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นที่สุดในฤดูนี้ มีเสียงหิมะร่วงลงมาให้ได้ยิน แล้วก็เสียงที่เหมือนกับตัวไหมกัดกินใบหม่อนดังซาซา… ซาซา…
ใบไม้ผลิยังไม่ทันมาเยือนก็ได้ยินเสียงตัวไหมกินใบหม่อนแล้ว?
จู่ๆ ลมหนาวพัดโกรกเข้ามากะทันหัน หนาวจนอวิ๋นจ้าวเนื้อตัวสั่นสะท้าน นางรีบลืมตาขึ้น ภาพเบื้องหน้ามีเพียงความมืดมิด มองไม่เห็นลู่อู๋เซิงและไม่เห็นโลงไม้ในห้องโถงอีก นางลุกขึ้นนั่งด้วยความตื่นตระหนก ผ้าห่มนุ่มนิ่มเลื่อนหลุดจากร่างไปอย่างเงียบเชียบ ด้านนอกไม่มีเสียงตัวไหมกินอาหาร กลับเงียบสงัดอย่างมากเสียด้วยซ้ำไป
อวิ๋นจ้าวตกตะลึง เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ นางยื่นมือออกไปคว้าผ้าห่มผืนนั้น แล้วลูบคลำไปรอบกาย
เป็นเตียง เป็นผ้าห่ม เป็นหมอนของนาง!
ระหว่างที่อวิ๋นจ้าวยังตกตะลึง ด้านนอกก็มีเสียงกังวานใสของสี่เชวี่ยดังขึ้น “คุณหนู? คุณหนูเจ้าคะ?”
ในอกของอวิ๋นจ้าวหัวใจเต้นรัวอย่างหนักหน่วง นางเลิกผ้าห่มแล้ววิ่งถลาไปที่ประตูห้อง ทันทีที่เปิดประตูออก ก็เห็นว่าคนที่อยู่ข้างนอกเป็นสี่เชวี่ยจริงดังคาด นางจึงคว้าไหล่ของสี่เชวี่ยเอาไว้ น้ำเสียงสั่นไหวเอ่ยถามว่า “ตอนนี้เป็นยามใดแล้ว”
สี่เชวี่ยมีสีหน้าประหลาดใจ นึกว่าคุณหนูของนางโดนผีเข้าสิง “ตอนนี้เพิ่งผ่านยามจื่อไป วันนี้เป็นวันที่แปดเดือนสิบสองแล้วเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจ้าวคลายมือออกทันที ตะลึงงันอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะออกมา
สี่เชวี่ยมองดูจนหน้าเปลี่ยนสี “คุณหนู ท่านเป็นอะไรไป ข้าจะไปเรียกท่านหมอเฉิง ไม่สิ ท่านหมอเฉิงออกไปข้างนอก ข้าจะไป…”
“สี่เชวี่ย อย่าเอะอะไป” หัวใจของอวิ๋นจ้าวยังเต้นโครมครามไม่เลิก นางกลับมาแล้ว นางกลับมาในวันที่แปดเดือนสิบสองสมควรตายนั่นแล้ว นางยิ้มด้วยความดีใจอย่างอดไม่อยู่ “ข้าจะไปนอนต่ออีกสักหน่อย ไม่ต้องเรียกข้านะ”
สี่เชวี่ยพยักหน้ารับอย่างเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าคุณหนูกำลังคิดถึงคุณชายลู่ที่ไม่ยอมมาหาอีกหรอกนะ นางเกาศีรษะแกรกๆ หางตาก็เหลือบไปเห็นว่าอวิ๋นจ้าวไม่ได้สวมรองเท้า คิ้วเรียวดั่งกิ่งหลิวขมวดขึ้น “คุณหนู ท่านสะเพร่าเลินเล่อเช่นนี้อยู่เรื่อย ประเดี๋ยวฮูหยินก็ดุท่านอีกหรอก ดูสิเจ้าคะ แม้แต่รองเท้าก็ไม่ได้สวมหรือนี่!”
พอได้ยินคำพูดเช่นนี้ซ้ำสอง อวิ๋นจ้าวก็ตระหนักได้มากขึ้น ยอมตามสี่เชวี่ยกลับไปที่เตียง
ตอนสี่เชวี่ยใช้ผ้าแห้งเช็ดเท้าให้อวิ๋นจ้าว นางก็เห็นคุณหนูยังยิ้มไม่เลิก จนนางเริ่มใจคอไม่ดีแล้ว
เห็นทีคนที่นางควรไปเชิญจะไม่ใช่หมอ แต่เป็นนักพรตต่างหาก