เรื่องเกิดขึ้นมาอย่างรวดเร็วและฉับพลันกะทันหันเกินไป อูอีเสวี่ยอยู่ข้างบนเห็นอย่างชัดเจน นางตื่นตระหนกตกใจจนอุดปากแน่น
เพราะเหตุใดตันหานเลี่ยต้องลอบจู่โจมเหลยหู่ นี่มันเรื่องอันใดกัน ก่อนหน้านี้เขายังพูดคุยกับเหลยหู่อย่างเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมน่าเลื่อมใส รอเหลยหู่หมุนตัวไป เขากลับลอบจู่โจมอย่างไม่ลังเล ไม่มีเค้าลางใดๆ ทำให้คนไม่ทันระวังตัว
ตอนอูอีเสวี่ยได้สติกลับคืนมาอีกครั้งก็พบว่าตันหานเลี่ยหายตัวไปแล้ว ในเวลานี้รอบด้านมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ลูกน้องสิบคนของเหลยหู่กลับมาแล้ว พอพวกเขาเห็นเหลยหู่นอนอยู่กับพื้นจึงรีบเข้ามาตรวจสอบดู ชุลมุนวุ่นวายกันอยู่พักใหญ่ หลังจากลูกน้องเหล่านั้นหามเหลยหู่จากไปแล้วอูอีเสวี่ยยังคงรออยู่บนต้นไม้ ไม่กล้าขยับตัว
ตันหานเลี่ยเล่า
นางกวาดตามองหาที่ด้านล่าง พลันรู้สึกเย็นวูบที่แผ่นหลัง นางหันหน้าไปช้าๆ ยามนี้ตันหานเลี่ยอยู่ข้างหลังนาง กำลังจ้องมองนางด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นางตัวแข็งทื่อไปทั้งร่าง ฉับพลันนั้นเท้าพลันลื่นเสียหลัก ร่างทั้งร่างร่วงหล่นลงไปด้านล่าง นางคิดว่าตนเองจะต้องร่วงลงสู่พื้นแน่แล้ว ใครจะรู้ร่างพลันลอยขึ้นคล้ายถูกคนรับไว้ได้ นางลืมตาขึ้นมอง คนที่รับตัวนางไว้ก็คือตันหานเลี่ย นางเบิกตาโตมองเขา ไม่กล้าขยับตัวแม้เพียงน้อย
เมื่อตันหานเลี่ยเห็นชัดเจนว่าคนที่ตนรับไว้เป็นเพียงเด็กผู้หญิงอายุหกขวบ สีหน้าที่เคร่งขรึมก็เลือนหายไป กลับคืนสู่ความมีสง่าน่าเกรงขามดังเดิม
“แม่หนูน้อย เจ้าขึ้นไปทำอะไรอยู่บนต้นไม้”
แม่หนูน้อย จริงสิ เวลานี้นางเป็นเด็กตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ตันหานเลี่ยจำนางไม่ได้ นางไม่จำเป็นต้องกลัวเขา นางฉุกคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ รีบใช้น้ำเสียงนุ่มนิ่มเฉพาะตัวของเด็กผู้หญิงพูดขึ้น “คนเลวมีหนวดเครา กลัวๆ”
ตันหานเลี่ยได้ยินแล้วนิ่งคิดเล็กน้อยก็เข้าใจ คนเลวมีหนวดเคราที่เด็กหญิงพูดถึงหมายถึงเหลยหู่ ไม่ผิด รูปร่างหน้าตาของเหลยหู่กล่าวสำหรับเด็กผู้หญิงแล้วดูน่ากลัวมากจริงๆ
เขาวางจิตใจที่ระแวดระวังลงก่อนยิ้มอ่อนโยน
“ไม่ต้องกลัว คนเลวถูกอาตีหนีไปแล้ว”
“จริงหรือ”
อูอีเสวี่ยแม้จะฝึกวรยุทธ์ได้ไม่ดี แต่ให้เป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักไร้เดียงสาบริสุทธิ์ผุดผ่องแล้วนางเชี่ยวชาญมาก กอปรกับแววตาของนางใสซื่อ ขนตายาวกระพือปริบๆ ดวงตาสุกใสแวววาวสาดประกายวิบวับ ทำให้คนเห็นแล้ววางความระแวดระวังลงได้ง่าย
ต่อให้ตันหานเลี่ยช่างระแวงสงสัยก็คงไม่ถึงกับคิดสงสัยเด็กอายุหกขวบคนหนึ่ง เพียงเห็นว่านางยังเด็กไม่ประสา เรื่องที่เขาลอบจู่โจมเหลยหู่เมื่อครู่เด็กหญิงคงดูไม่เข้าใจ จึงยิ้มแล้วหลอกล่อนาง
“เป็นความจริง คนเลวถูกตีหนีไปแล้ว เจ้าอย่าได้บอกใคร เดี๋ยวคนเลวได้ยินแล้วจะกลับมาอีก”
อูอีเสวี่ยรีบพยักหน้ารับปากอย่างว่าง่าย ทั้งยังเผยรอยยิ้มน่ารักออกมา ในใจกลับกำลังคิด ตันหานเลี่ยผู้นี้ที่แท้แล้วภายนอกดูอ่อนโยนภายในกลับชั่วร้าย ต่อไปนางจะต้องอยู่ให้ห่างเขาสักหน่อย
“จริงสิ แม่หนู บ้านเจ้าอยู่ที่ใด นี่เจ้าอยู่คนเดียวหรือ”
อูอีเสวี่ยในใจรู้ดี เขากำลังหยั่งเชิงดูว่ายังมีคนอื่นอยู่ในละแวกใกล้เคียงหรือไม่ เพราะกลัวจะมีใครเห็นเรื่องที่เขาลงมือกับเหลยหู่ ครั้นแล้วนางก็แสร้งทำไร้เดียงสาต่อไป…
“พวกท่านลุงบอกให้ข้ารออยู่ที่นี่ บอกเทพแห่งขุนเขาจะมาหาข้า เอาของอร่อยมาให้ข้ากิน”
ตันหานเลี่ยได้ยินแล้วชะงักอึ้ง มีหมู่บ้านบางแห่งที่เชื่อเรื่องงมงาย ชาวบ้านจะคัดเลือกเด็กที่หน้าตางดงามมาทิ้งไว้ในป่าเขาที่รกร้างเปล่าเปลี่ยว บอกถวายให้เทพเจ้าเพื่อขอให้คุ้มครองคนในหมู่บ้านให้อยู่เย็นเป็นสุข
หนูน้อยผู้นี้คงถูกเห็นเป็นเครื่องเซ่นไหว้ของเทพแห่งขุนเขา ใครใช้ให้ดวงหน้าน้อยนี้งดงามน่าเอ็นดู มิน่าถึงได้ถูกเอามาทิ้งไว้ในป่า ถ้าเขาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้น เกรงว่าพอตกกลางคืน ต่อให้นางไม่หิวตายก็ต้องถูกสัตว์ป่ากิน
จะอย่างไรก็เป็นเด็กคนหนึ่ง ตันหานเลี่ยไม่อาจเห็นคนจะตายแล้วไม่ช่วย จึงกล่าวกับนาง “อาจะพาเจ้าออกจากป่าเอง”
อูอีเสวี่ยพยักหน้า ปล่อยให้เขาอุ้มเดินไป นางเอาคางวางไว้ที่หัวไหล่ของเขา กลอกนัยน์ตาสุกใสวาบวับไปมา คิดในใจว่าหลอกเขาได้สำเร็จแล้ว แต่ถัดจากนี้จะหาวิธีสลัดหลุดไปได้อย่างไร