เสี่ยวเอ้อร์วิ่งไปทั่ว วุ่นวายอย่างมาก เมื่อเห็นว่ามีลูกค้าเข้ามาอีกและสวมใส่อาภรณ์ดูภูมิฐานไม่ธรรมดา จึงรีบเดินรี่เข้าหา ปากก็ร้องตะโกนต้อนรับ “เชิญข้างในขอรับ” ทว่าพอเดินเข้าไปใกล้ หัวใจก็เต้นกระตุก เขาวิ่งวุ่นอยู่ที่นี่มาสามสี่ปีแล้ว ยังไม่เคยเห็นบุรุษรูปงามเช่นนี้มาก่อนเลย
เมื่อกุยหวั่นเหยียบย่างเข้าไปในโถงก็ต้องรู้สึกเศร้าใจ ในโถงเสียงดังอึกทึก ไม่มีโต๊ะว่างแม้แต่ตัวเดียว เสี่ยวเอ้อร์เหมือนจะมองทะลุถึงความคิดของนาง จึงมีรอยยิ้มเต็มใบหน้าแล้วพูดปลอบใจว่า “คุณชาย ไม่ต้องกังวล ข้าจะช่วยท่านหาที่ดีๆ สักที่ รอสักครู่นะขอรับ” เพิ่งจะพูดจบเขาก็เดินแทรกไประหว่างโต๊ะเสียแล้ว ดูแคล่วคล่องอย่างมาก
กุยหวั่นยิ้มบาง เริ่มมองสอดส่องไปทั่วด้วยอารมณ์สนุกสนาน ผ่านไปเพียงไม่นานเสี่ยวเอ้อร์ก็แทรกตัวเดินกลับมา พูดด้วยรอยยิ้มสดใส “หาที่นั่งให้ท่านได้แล้วขอรับ แต่ต้องนั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่น หวังว่าคุณชายจะไม่ถือสา”
กุยหวั่นฉีกยิ้มแล้วเดินตามหลังเสี่ยวเอ้อร์ไป ก่อนจะเดินทะลุโถงใหญ่ไปถึงโต๊ะที่อยู่ติดหน้าต่าง หน้าต่างเปิดออกเพียงครึ่งบาน แต่ก็เห็นภาพความครึกครื้นบนถนนได้อย่างชัดเจน บนโต๊ะมีลูกค้านั่งอยู่แล้วสองคน คนหนึ่งแต่งตัวเป็นบัณฑิตวัยกลางคน เสื้อผ้าธรรมดาทั่วไป บนใบหน้ามีรอยยิ้ม ท่าทางงามสง่าอยู่เช่นกัน อีกคนหนึ่งเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบกว่า หน้าตาหล่อเหลา ดวงตาเปล่งประกายสดใส แต่ท่าทางเย็นชา ทำท่าเหมือนคนแปลกหน้าห้ามเข้าใกล้
เมื่อเห็นกุยหวั่นเดินมา บัณฑิตวัยกลางคนพยักหน้าให้นางเป็นการทักทาย กุยหวั่นก็พยักหน้าตอบกลับ ส่วนชายหนุ่มเย็นชาราวน้ำค้างแข็งผู้นั้นไม่ขยับแม้แต่น้อย ทำราวกับมองไม่เห็นนางอยู่ในสายตา
กุยหวั่นไม่สนใจ นางนั่งลงแล้วสั่งอาหารขึ้นชื่อสองสามอย่างที่เสี่ยวเอ้อร์แนะนำ ระหว่างรออาหารนางก็มองไปรอบๆ ที่นั่งนี้ไม่เลวจริงๆ ทั้งสามารถมองเห็นภาพทั่วทั้งโถง และสามารถเห็นสภาพด้านนอกอย่างชัดเจน ขณะที่กำลังสอดส่ายสายตา นางพบว่าชายหนุ่มเย็นชาที่นั่งร่วมโต๊ะนั้นก็กำลังมองไปนอกหน้าต่างเช่นกัน แม้ว่าเขาจะกลบเกลื่อนไว้อย่างดี แต่กุยหวั่นยังคงสังเกตเห็น ตอนที่เขาจ้องมองไปนอกหน้าต่างจะแฝงความเคารพยำเกรงเอาไว้
เพียงไม่นานอาหารที่กุยหวั่นสั่งก็มาวางที่โต๊ะ นางหิวนานแล้ว กินอะไรก็รู้สึกอร่อย บัณฑิตวัยกลางคนร่วมโต๊ะกินข้าวพลางพูดคุยกับชายหนุ่ม สิ่งที่พูดกันล้วนเป็นเรื่องสนุกในเมืองหลวงและข่าวลือของชาวเมือง เขาพูดเก่งมาก กุยหวั่นเองก็ฟังไปอย่างเพลิดเพลิน
“กล่าวได้ว่าอิ๋งกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปรานอย่างที่สุด ได้ยินว่านางชื่นชอบทิวทัศน์ของเจียงหนาน* ฮ่องเต้จึงทรงมีบัญชาให้เตรียมการ จะสร้างตำหนักจิ่งอี๋ขึ้น” หัวข้อที่บัณฑิตวัยกลางคนพูดถึงเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับเหยาอิ๋ง กุยหวั่นจึงฟังอย่างตั้งใจยิ่งขึ้น
ชายหนุ่มใบหน้าเย็นชาได้ยินอีกฝ่ายพูดเช่นนี้ สีหน้าก็เย็นชายิ่งกว่าเดิม แสดงท่าทางไม่พอใจออกมาเล็กน้อย
ที่แท้เขาก็เป็นคนมีอารมณ์ความรู้สึกเช่นกัน กุยหวั่นคิดในใจ
บัณฑิตวัยกลางคนสังเกตเห็นว่าเขาไม่พอใจเช่นกัน จึงฉีกยิ้มแล้วพูดต่อไปว่า “พูดไปก็น่าสนใจ ยังมีเรื่องที่คล้ายกันอีกเรื่อง อัครเสนาบดีโหลวก่อนหน้านี้ไม่นานแต่งภรรยา ได้ยินว่าโปรดปรานภรรยาที่เพิ่งแต่งงานใหม่มาก เพื่อทำให้ภรรยามีความสุข เขาถึงกับค้นหาของล้ำค่าหายากไปทั่ว”
กุยหวั่นเพิ่งจะกินผัดเนื้อวัวเส้นที่ลือกันว่าเป็นอาหารขึ้นชื่อของหอไหลฝู พอได้ฟังคำนี้ก็ตกตะลึง ถึงกับเผลอกลืนชิ้นเนื้อที่ยังไม่ได้เคี้ยวลงคอไป ทำให้นางต้องไอเบาๆ อยู่หลายที เป็นนานกว่าจะปรับลมหายใจได้ หลังจากนั้นนางก็เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย อยากฟังว่าเขาจะมีความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างไร
บัณฑิตผู้นั้นกลับไม่พูดอะไรต่อ แต่เป็นชายหนุ่มหล่อเหลาที่หน้าตาไร้ความรู้สึกที่หันกลับมาจากหน้าต่าง ประสานสายตาเข้ากับสายตาค้นหาของกุยหวั่นเข้าพอดี ชายหนุ่มขมวดคิ้วแน่นขึ้นทันใด
* เจียงหนานคือคำเรียกที่ราบลุ่มแม่น้ำทางด้านใต้ของแม่น้ำฉางเจียง (แยงซีเกียง) ปัจจุบันคือทางใต้ของมณฑลเจียงซูอันฮุยและด้านเหนือของมณฑลเจ้อเจียง