บทที่ 3
วันเวลาในปราสาทเขาชิงอวี้มิอาจกล่าวได้ว่าไม่ดี แต่ก็มิได้สุขสำราญ ในเมื่อต้วนฉางยวนไม่โปรดปรานนาง ผู้อยู่ใต้ล่างไฉนเลยจะทุ่มเทแรงกายแรงใจให้
แน่นอน อาหารการกินเสื้อผ้าแพรพรรณไม่ขาดตกบกพร่อง ทว่าดีไม่ดีนั่นอีกเรื่องหนึ่ง
กับข้าวสามน้ำแกงหนึ่ง ในกับข้าวมีเนื้ออยู่ไม่มาก รสชาติยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง จืดชืดไร้รสขาดการพลิกแพลง ไร้ซึ่งอาภรณ์อันหรูหราหรืออาหารรสดี แต่ไม่ทำให้นางต้องอดตาย กล่าวอย่างชัดแจ้งว่าเลี้ยงนางไว้ดังเลี้ยงคนพิการคนหนึ่ง
จากภายนอกพวกเขาไม่อาจทำอะไรนางได้ ทว่าในทางลับแล้วลูกเล่นในการกลั่นแกล้งผู้อื่นไม่น้อยเลยทีเดียว
อย่างเช่นแอบใส่สลอดในน้ำชา วางเข็มเงินในรองเท้าปักของนาง หรือทาน้ำมันไว้บนบันไดหน้าห้อง ล้วนเป็นลูกเล่นการแกล้งคนเล็กๆ น้อยๆ
นางเชิดจมูกใส่อย่างดูแคลน คนพวกนี้วางมาดว่าเป็นฝ่ายธรรมะ แต่กลับใช้ลูกไม้ตื้นๆ ไม่ได้เรื่องเช่นนี้ นางอยากหัวร่อให้ฟันหลุดเสียจริง
พวกเขาไม่รู้ว่าแท้จริงแล้วนางเป็นสตรีแสนซุกซน ลูกเล่นของนางมากเสียยิ่งกว่า ย่อมไม่เสียเปรียบไปโดยปริยาย ลูกไม้ที่พวกเขาใช้จึงไม่เคยได้ผลเลย
นอกจากคิดร้ายต่อนางแล้วบ่าวรับใช้พวกนี้ยังจงใจเพิกเฉย อย่างเช่นส่งอาหารให้ช้ามาก ไม่มีใครช่วยเทกระโถนถ่ายให้ ชาก็เย็นเฉียบ เสื้อผ้าที่ส่งซักกลับมาก็มีกลิ่นประหลาด อวี๋เสี่ยวเถายิ้มเย็นให้เรื่องเหล่านี้ นางคร้านจะถือสา มุ่งมั่นตั้งใจโคจรลมปราณเพียงอย่างเดียว รู้ดีว่ามีเพียงฟื้นคืนวรยุทธ์เท่านั้นจึงจะเปลี่ยนแปลงสภาพในตอนนี้ได้ และนางก็ไม่ร้องขอให้ผู้คนในปราสาทเขาชิงอวี้ต้องทำดีกับนาง นางดูแลตนเองได้
ทว่านางก็เข้าใจสัจธรรมอีกประการหนึ่ง การปล่อยปละละเลยเพียงครั้งย่อมทำให้ผู้อื่นคิดว่ารังแกนางได้ง่ายจนปีนขึ้นมาเหยียบอยู่บนศีรษะ ดังนั้นวันหนึ่งบนเตียงนอนของนางจึงปรากฏงูพิษตัวเล็กตัวหนึ่ง นางเพียงเลิกคิ้วสูง จับงูเล็กตัวนั้นไว้ในมือ
ประเสริฐมาก นางไม่สำแดงอำนาจบารมีก็เห็นว่าเป็นแมวป่วย ในเมื่อพวกต่ำทรามนี้ชอบเล่นแผลงๆ นางก็จะเล่นเป็นเพื่อนจนถึงที่สุด
นางไม่เพียงแต่จับงูขึ้นมาเล่นอย่างเพลิดเพลินต่อหน้าทุกคน ให้พวกเขารู้ว่านางไม่กลัวงูแม้แต่นิดเดียว หลังเสร็จเรื่องแล้วยังแอบใช้ขลุ่ยผึ้งล่อผึ้งดำมาอีกฝูงหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งก็หลบผึ้งต่อยไม่พ้น ไม่ว่าผู้ใดถูกต่อยก็จะมีไข้สูงสามวัน เจ็บปวดไปทั้งร่าง ทุกข์ทรมานไม่คลาย
ตั้งแต่เล็กนางฝึกฝนทางยาและทางพิษ ไม่เพียงรู้ซึ้งถึงพิษของพืช แต่ยังรู้ซึ้งถึงพิษของพันแมลงร้อยสัตว์ป่า นางไม่ลงมือก็แล้วไป ถ้าลงมือขึ้นมาก็จะโจมตีจนฝ่ายตรงข้ามร่วงโรยราวกลีบบุปผาปลายฤดูใบไม้ผลิ*
จู่ๆ ก็มีผึ้งดำกลุ่มหนึ่งโผล่ขึ้นมาที่เรือนเซียงสุ่ยอย่างกะทันหัน ไม่ว่าบินไปที่ใด ไม่มีผู้ใดพ้นเคราะห์ บางคนถูกต่อยจนปุ่มปมขึ้นเต็มหน้า บางคนหน้าบวมเป่งผิดรูปไปจนสิ้น ที่ร้องก็ร้อง ที่หนีก็หนี พริบตาเดียวก็มีคนถูกต่อยจนล้มป่วยถึงสามสิบกว่าคน
เรื่องนี้ทำให้ต้วนฉางยวนตระหนก รีบรวบรวมกำลังพลล้อมกันเรือนเซียงสุ่ยไว้ทันที แต่ละคนถือคบเพลิงเร่งรุดมายังเรือนเซียงสุ่ยทั้งกลางวันแสกๆ
* กลีบบุปผาปลายฤดูใบไม้ผลิ เป็นสำนวน ใช้บรรยายถึงสภาพความเปลี่ยนแปลงของดอกไม้ที่เริ่มร่วงโรยในปลายฤดูใบไม้ผลิ ในที่นี้ใช้อุปมาว่าพ่ายแพ้อย่างราบคาบ