หยาดน้ำค้างกลางบัว ใช้ลำไผ่แทนถ้วย สลักเป็นรูปใบบัว เอ็นวัวใสหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ประมาณไข่มุก ตุ๋นด้วยดอกเหมยหนึ่งฤดูกับน้ำค้างยามเช้า เมื่อแรกเข้าปากจะสัมผัสรสชาติได้ก็แต่เพียงจางๆ เท่านั้น แต่หลังจากกินเข้าไปสองสามคำ รสชาติสดชื่นกรอบอร่อยชุ่มคอกับกลิ่นหอมก็จะกำซาบติดอยู่บนลิ้นและฟัน ราวกับได้ดื่มน้ำค้างยามเช้าหยาดแรกแห่งคิมหันตฤดูที่อยู่บนใบบัว ร่างทั้งร่างประหนึ่งอาบอิ่มไปด้วยแสงจันทร์
หอมจรุงฟุ้งอาภรณ์ คือขนมโก๋สีขาวทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าชิ้นหนึ่ง วางอยู่บนจานหยกสีเขียวไม่มีสิ่งปรุงแต่งอื่นใด เมื่อแรกเห็นอาจรู้สึกประหลาดใจ ว่าของเช่นนี้นับเป็นอาหารได้ด้วยกระนั้นหรือ แต่พอลังเลกัดมันลงไปคำแรก กลิ่นหอมของผลซิ่งเขียว* โป๋เหอ** และส้มก็จะอบอวลไปทั่วทั้งปากและจมูก กลิ่นหอมสดชื่นนั้นทำให้คนกินอดย้อนรำลึกไปถึงสมัยหนุ่มสาวเมื่อครั้งยังใจเต้นระส่ำด้วยเพราะคนผู้หนึ่งไม่ได้ และเมื่อกัดลงไปเป็นครั้งที่สอง รสชาติเผ็ดอมหวานของกระวาน พริกไทย อบเชย ขิงหวานก็ทำให้หวนคิดไปถึงอารมณ์เคลิบเคลิ้มเปี่ยมสุขในยามค่ำ ครั้นกัดลงไปเป็นคำที่สาม กลิ่นหอมอ้อยอิ่งเนิ่นนานของสนอ่อน ใบหญ้า ดอกซ่อนกลิ่นก็จะทำให้อารมณ์ครุ่นคิดคำนึงถาโถมขึ้นในใจ…ทุกคำที่กัดล้วนสร้างกลิ่นรสที่แตกต่างกันออกไป ทั้งๆ ที่เป็นเพียงขนมโก๋ยาวเพียงลำนิ้ว และแม้จะกินหมดไปแล้วเนิ่นนาน แต่กลับยังคงรู้สึกว่าหอมจรุงฟุ้งอาภรณ์จานนี้ ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาวในอ้อมแขน
ตลอดทั้งวัน อวิ๋นเกอได้แต่ขลุกตัวอยู่ในครัว ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดลงไปในอาหารที่นางทำ
สุดท้าย หลังผ่านการตัดสินของกรรมการทั้งห้าและกรรมการลับอีกสอง อาหารทั้งเก้าจาน อวิ๋นเกอชนะสามเสมอหนึ่งแพ้ห้า แต่ถึงแม้จะแพ้ นางก็แพ้อย่างทรงเกียรติ
แม้ด้านการจัดการโดยรวม ไม่ว่าการคัดสรรวัตถุดิบ การปรุงรส หรือชนิดของอาหาร อวิ๋นเกอจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แต่ด้านความคิดสร้างสรรค์ ความประณีตละเอียดอ่อน โดยเฉพาะความชำนาญในการนำโคลงกลอน ศิลปะ ท่วงทำนองของบทเพลงและการร่ายรำมาผสมผสานใส่ไว้ในอาหาร นับแต่ชื่ออาหารไปจนถึงวิธีการกินก็ล้วนน่าสนใจด้วยกันทั้งสิ้น ทำให้ห้องครัวสกปรกในสายตาคุณหนูคุณชายทั้งหลายกลับกลายเป็นสถานที่อันงดงามสูงส่ง จนได้รับการยกย่องสูงสุดจากเหล่าอัจฉริยะปัญญาชน และขนานนามให้นางเป็น ‘วิเสทประณีต’*
เพราะอวิ๋นเกอรับหน้าที่ทำอาหารเพียงอย่างเดียว ไม่ยอมเปิดเผยโฉมหน้า ผู้คนจึงพากันคาดเดาไปต่างๆ นานาถึงอายุและหน้าตาของวิเสทประณีตผู้นี้ บ้างก็ว่านางเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา บ้างก็ว่าใบหน้าของนางต้องอัปลักษณ์เป็นที่สุด ยิ่งพูดก็ยิ่งเลยเถิดไปไกล อวิ๋นเกอฟังแล้วอดนึกขำไม่ได้
บางคนชื่นชมอาหารที่อวิ๋นเกอทำด้วยใจ บางคนก็เพียงแค่อยากมีหน้ามีตา บางคนปรารถนาเพียงได้โอ้อวดกับผู้อื่น แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใด คำสรรเสริญเยินยอนานาเหล่านั้นทำให้การได้กินอาหารที่วิเสทประณีตปรุงกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ที่ผู้คนในฉางอันใช้วัดว่าใครเป็นผู้มีอันจะกิน ใครมีความรู้ความสามารถ ใครมีรสนิยมวิไล
เพียงไม่นาน การจองตัวอวิ๋นเกอจากเหล่าขุนนางชั้นผู้ใหญ่ผู้มีฐานะสูงส่ง อัจฉริยะปัญญาชน คุณหนูตระกูลใหญ่ก็เป็นไปอย่างไม่ขาดสาย แต่ถึงกระนั้นเทียบเชิญจากคฤหาสน์สกุลฮั่วก็ยังไม่เคยปรากฏ
แม้ความหวังจะเลือนราง ทว่าอวิ๋นเกอก็ยังคงเพียรพยายาม
ในที่สุดวันตัดสินคดีครั้งสุดท้ายของหลิวปิ้งอี่ก็มาถึง มิได้เลื่อนไปตามที่นางตั้งจิตอธิษฐานแม้แต่เพียงน้อย
* ผลซิ่งเขียว หมายถึง ผลแอปปริคอตดิบ
** โป๋เหอ หมายถึง ใบมิ้นต์
* วิเสทประณีต มาจากคำว่า ‘หย่าฉู’ แปลตรงตัวหมายถึงผู้ทำครัวที่งามประณีต