มองดูท่าทางอิดออดของเขา มู่หวั่นชิวก็ก้มหน้าลงแก้ห่อผ้า “อาหญิงเตรียมอาหารแห้งให้ข้า?”
“วันนี้ที่บ้านไม่ได้นึ่งอาหารแห้ง…” หม่าจู้เอ๋อร์แอบเช็ดน้ำตา พูดเสียงดัง “ก็เลยเหลือแค่ของเก่าพวกนี้ ท่านแม่เอามาให้เจ้าหมดเลย” แล้วชี้ไปที่เสื้อผ้าเก่าชุดหนึ่งที่ซักจนซีด “ท่านแม่เพิ่งเย็บแก้ ให้เจ้าไว้เปลี่ยนระหว่างทาง”
“อืม พี่จู้จื่อช่วยขอบคุณอาหญิงแทนข้าด้วย” มู่หวั่นชิวพยักหน้าอย่างแรง มือก็สัมผัสถูกของแข็งชิ้นหนึ่งอย่างไม่ตั้งใจ นางจึงพลิกเปิดเสื้อขึ้นดู ใต้นั้นซ่อนเงินอีแปะเอาไว้สองพวง “ของสิ่งนี้!”
มู่หวั่นชิวเงยหน้าขึ้นอย่างตกใจ นางจำได้อย่างชัดเจน เงินนี้เป็นของล้ำค่าที่เป็นเงินก้นหีบของครอบครัวหม่าจู้เอ๋อร์ ซ่อนอยู่ในไหกระเบื้องสีดำใบหนึ่งซึ่งซ่อนอยู่ในตู้ที่ห้องตะวันออก ท่านแม่ของหม่าจู้เอ๋อร์มักจะแอบปิดประตูหน้าต่าง แล้วเอาออกมานับอยู่หลายรอบ
“อันนี้ให้เจ้าเอาไว้ใช้ระหว่างทาง”
“อาหญิงก็ให้เหมือนกัน?” มู่หวั่นชิวถามต่อ
“ต้องเดินทางไกลขนาดนั้น อาหารแห้งแค่นี้ไม่พอหรอก…” หม่าจู้เอ๋อร์พูดกลบเกลื่อน “ทั้งหมดสองพวงครึ่ง เจ้าก็ใช้ประหยัดสักหน่อย ไปถึงเมืองผิงเฉิงแล้ว ก็คอยดูว่ามีคนใจดียอมรับเจ้าบ้างหรือไม่”
“พี่จู้จื่อ…” มู่หวั่นชิวริมฝีปากสั่น “พี่ขโมยเงินอาหญิง” เห็นหม่าจู้เอ๋อร์หน้าขึ้นสีไม่พูดจา นางก็หยิบเงินขึ้นมาแล้วยัดคืนให้หม่าจู้เอ๋อร์ “เอากลับไปคืนอาหญิงเถอะ นี่ถือเป็นชีวิตของอาหญิง ถ้าหากอาหญิงรู้เข้าจะต้องเสียใจมากเป็นแน่”
เงินสองพวงครึ่งนี้ไม่ถือว่ามาก ก็แค่เพียงสองตำลึงเงินครึ่งเท่านั้น แต่นี่กลับเป็นทรัพย์สินทั้งหมดของหม่าจู้เอ๋อร์ ถือเป็นเงินก้นหีบที่เมียหม่าหย่งเก็บทีละเล็กทีละน้อยมาหลายปี!
“ข้ากับท่านพ่อล่าสัตว์แลกเงินมาได้ ในบ้านก็หาได้ขาดของกินไม่” หม่าจู้เอ๋อร์แย่งเงินมา แล้วก้มหน้ายัดเข้าไปในห่อผ้า ผูกห่อผ้าให้นางเป็นอย่างดี “เจ้าตัวลำพังคนเดียว อยู่นอกบ้าน จะไม่มีเงินได้อย่างไร”
“แต่ว่า…”
“เจ้าวางใจเถอะ กลับไปแล้วข้าจะขยันขึ้น ขอแค่เก็บฟืนให้มากหน่อยค่อยนำมาแลกเงินให้ท่านแม่ใช้ ท่านแม่ต้องดีใจมากเป็นแน่ แต่ว่า…” เขาสีหน้าเศร้าลง “เจ้าเดินทางคนเดียวต้องระวังตัว อย่าได้ถูกใครจับส่งไปที่…”
แม้จะไม่รู้ว่าซ่องคือสถานที่เช่นไร แต่เมื่อหม่าจู้เอ๋อร์คิดถึงตอนที่ท่านแม่พูดถึงคำนี้แล้ว ใบหน้านั้นกลับดูรังเกียจ เพียงเท่านี้เขาก็รู้ได้ทันทีว่า ที่นั่นมิใช่สถานที่ที่ดีแน่นอน ต้องเป็นสถานที่ที่ต่อให้มู่หวั่นชิวตายก็จะถูกส่งตัวไปมิได้!
มู่หวั่นชิวพลันตัวสั่น นางคิดถึงโชคชะตาเลวร้ายของตัวเองในชาติก่อน ก็ได้แต่ขบฟันแน่น “ได้ ข้าจะพกเอาไว้!” นางเงยหน้าขึ้นมองหม่าจู้เอ๋อร์ “บอกอาหญิงกับท่านอาด้วยว่า บุญคุณอันยิ่งใหญ่ของพวกท่าน ข้าจะไม่มีทางลืมชั่วชีวิต!”
“เจ้ารีบไปเถอะ ฟ้ามืดแล้วจะเดินทางลำบาก” เห็นนางไม่ปฏิเสธอีก หม่าจู้เอ๋อร์ก็มีสีหน้าสบายใจขึ้น จึงเงยหน้ามองฟ้า “เดิมทีเส้นทางตรงปากทางหมู่บ้านจะเดินทางสะดวก และใกล้กว่า แต่ทางเส้นนั้นคนสัญจรไปมามาก ท่านพ่อเกรงว่าเจ้าจะถูกขุนนางสองคนนั้นจับตัวเข้า จึงให้เจ้าเดินทางเล็กนี้ ถึงแม้จะเดินทางลำบากสักหน่อย แต่ว่าปลอดภัยกว่า”
“อืม” มู่หวั่นชิวรับห่อผ้าที่หม่าจู้เอ๋อร์ยื่นมาให้ แล้วพยักหน้าอย่างแรง เดินไปได้สองก้าว นางก็หันกลับมาเรียกเขาอีกครั้ง “พี่จู้จื่อ…”
“อืม”
“ข้าวางแผนจะไปที่เมืองซั่วหยาง หาโรงธูป แล้วเป็นนักปรุงเครื่องหอม”
“เจ้าทำได้แน่นอน” นึกถึงเรื่องที่มู่หวั่นชิวรู้เรื่องต่อมกลิ่นชะมดเช็ด และรู้หนังสือแล้ว หม่าจู้เอ๋อร์ก็พยักหน้าให้กำลังใจอีกฝ่าย จากนั้นแววตาของเขาก็สลดลง ถูมือสองข้างที่เต็มไปด้วยเนื้อด้าน “แต่น่าเสียดายที่ข้านอกจากล่าสัตว์แล้ว ก็ไม่รู้เรื่องอะไรเลย” ในน้ำเสียงของเขาฉายความเศร้าสลด ก่อนเงยหน้าขึ้นทันใด “ในหมู่บ้านมีนักบวชออกจาริกมาคนหนึ่ง ได้ยินว่าเขามีวรยุทธ์สูงส่ง เพียงใช้มือข้างเดียวก็สามารถยกกระถางหินใบใหญ่ทางตะวันออกของหมู่บ้านได้ ข้าจะไปขอให้เขาสอนวรยุทธ์ให้ รอจนฝึกได้แล้วก็จะไปหาเจ้าที่ซั่วหยาง ดูสิว่าใครจะกล้ารังแกเจ้าอีก!”
“ได้ ข้าจะรอพี่จู้จื่ออยู่ที่ซั่วหยาง” มู่หวั่นชิวพยักหน้า “ข้าจะตั้งใจเรียนวิชาปรุงเครื่องหอม ภายหน้าเมื่อได้เงินก้อนใหญ่แล้ว จะมารับท่านกับท่านอาและอาหญิงไปอยู่กันอย่างสุขสบายด้วย”
หม่าจู้เอ๋อร์พลันฉีกปากยิ้ม ยิ้มไม่น่าดูเสียยิ่งกว่าร้องไห้
มู่หวั่นชิวปวดใจ แต่ก็หมุนตัวไปทันที