ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 1 #นิยายวาย – หน้า 2 – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่านนิยายวาย รัชศกเฉิงฮว่าปีที่สิบสี่ เล่ม 7 บทที่ 1 #นิยายวาย

แต่ไรมาชิวจวิ้นไม่ชอบหน้าหลี่จือเสิ่งที่ได้ตำแหน่งเพราะโชคช่วย รองเสนาบดีกรมพิธีการเป็นขุนนางขั้นสาม ผู้อื่นไม่อาจตอแยโดยง่าย แต่ชิวจวิ้นในฐานะข้าหลวงตรวจการฝ่ายขวาขั้นสองย่อมไม่เกรงกลัว ติดที่ยามปกติไร้โอกาสบริภาษ ต่อให้บริภาษไปจักรพรรดิก็ไม่ทรงรับรู้ วันนี้อุตส่าห์คว้าโอกาสจัดการหลี่จือเสิ่งไว้ได้ ชิวจวิ้นมีหรือจะยอมละทิ้ง

มิหนำซ้ำครานั้นชิวจวิ้นข้าหลวงตรวจการสำนักตรวจการนครหลวงถูกลงอาญาเพราะฟ้องร้องหลี่จือเสิ่งกับจี้เสี่ยว เรื่องนี้ท่านผู้เฒ่าชิวจำฝังใจมาตลอด

เพราะถ่องแท้ในอุปนิสัยของอาจารย์ตนเอง ถังฟั่นไม่จำเป็นต้องอยู่ในเหตุการณ์ก็วิเคราะห์สาเหตุได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว

ถังฟั่นรั้งรออยู่พักใหญ่ เห็นเกี้ยวด้านหน้าไม่มีทีท่าจะขยับเคลื่อน ได้แต่ลงจากเกี้ยวย่ำหิมะขึ้นหน้าไป

เดินไม่ไกลนักก็เห็นเกี้ยวสองหลังล้มขวางกลางถนน ชิวจวิ้นยืนพ่นน้ำลายอยู่ด้านข้าง ผรุสวาทหลี่จือเสิ่งอย่างเป็นหลักเป็นการ

หลี่จือเสิ่งมิได้เป็นจิ้นซื่อจึงปราศจากภูมิความรู้ แต่มิได้หมายถึงเขาจะกริ่งเกรงชิวจวิ้น กลับยังทำท่าเย่อหยิ่งลำพอง มองก็รู้ว่าไม่เห็นชิวจวิ้นในสายตา

ด้านข้างพวกเขามีคนมุงอยู่เจ็ดแปดคน ล้วนเป็นขุนนางที่กำลังเร่งไปประชุมเช้าแต่ถูกขวางอยู่กลางทาง ทุกคนกำลังช่วยกันเกลี้ยกล่อมให้ชิวจวิ้นคลายโทสะ

จะไม่เกลี้ยกล่อมได้หรือ อากาศหนาวเย็นปานนี้ ผู้ใดยินดีรั้งอยู่บนผืนหิมะเล่า อีกอย่างหากเข้าประชุมสายโดยไม่มีสาเหตุจะต้องถูกหักเบี้ยหวัดและโดนโทษโบย ทุกคนลำบากลำบนเพื่อแลกกับเบี้ยหวัดอันน้อยนิด ขืนถูกหักอีกคงไม่ต้องมีชีวิตกันแล้ว

ชิวจวิ้นเห็นคนรอบข้างเอาแต่เกลี้ยกล่อมเขาจึงพานโมโหหนักขึ้น “พวกท่านนึกว่าข้าไม่อยากไปหรือ เกี้ยวข้าถูกชนพัง คนหามก็บาดเจ็บ ลุกไม่ขึ้นแล้ว”

ทุกคนชะโงกดู จริงด้วย ไม่รู้ว่าเกี้ยวสองหลังนี้ชนกันอย่างไรถึงได้รุนแรงปานนี้ คานหามเกี้ยวของหลี่จือเสิ่งหลังนั้นล้วนแตกหัก ส่วนของชิวจวิ้นกลับล้มเค้เก้บนพื้น โดนทับจนพังไปแถบหนึ่ง โชคดีที่ท่านผู้เฒ่าออกมาได้เร็ว ไม่อย่างนั้นคนอาจบาดเจ็บ

เมื่อเกี้ยวสองหลังกีดขวางกลางถนน เกี้ยวที่ตามมาย่อมผ่านไปไม่ได้เป็นธรรมดา

ได้ฟังชิวจวิ้นกล่าวเช่นนั้น หลี่จือเสิ่งก็แค่นหัวเราะเย็นชา “ใต้เท้าชิวช่างไร้เหตุผล เป็นคนหามเกี้ยวของท่านรีบเร่งเดินทางอยากแซงเกี้ยวของข้าชัดๆ สุดท้ายก็ชนกันจนเกี้ยวพลิกคว่ำ และท่านมิได้แสดงฐานะ คนหามเกี้ยวของข้าไหนเลยจะทราบว่าที่นั่งในนั้นเป็นท่านผู้เฒ่า เกี้ยวของข้าก็พังเสียหายเช่นกัน จะหาผู้ใดชดใช้!”

ชิวจวิ้นกล่าวอย่างมีโทสะ “เจ้าอย่ามาพูดจาเหลวไหล คนหามเกี้ยวของข้ารับใช้ข้ามาหลายปีแล้ว ปกติใจเย็นที่สุด แล้วจะรีบเร่งเดินทางจนชนเกี้ยวของเจ้าได้อย่างไร เป็นเจ้าต่างหากที่เคลื่อนช้า คนหามเกี้ยวของข้ากลัวจะทำให้ข้าไปประชุมสายจึงจำต้องเร่งฝีเท้าเร็วขึ้น”

หลี่จือเสิ่งเสียดสีด้วยน้ำเสียงพิลึก “ท่านเร่งไปประชุม หรือข้าไม่เร่ง? หิมะตกถนนลื่น หรือยังไม่ยอมให้ผู้อื่นเดินช้าหน่อย ท่านอายุปูนนี้แล้วไยต้องเดือดดาลเป็นฟืนเป็นไฟ เร่งรีบอย่างไรก็เข้าสภาขุนนางมิได้ แล้วจะร้อนใจไปไย”

ชิวจวิ้นโมโหสุดขีด “เจ้าคนสอพลอไร้ยางอาย!”

ฟังถึงตรงนี้ ถังฟั่นก็มิอาจไม่ออกหน้า

เรื่องเกี้ยวชนกันนั้นฟังไม่ออกว่าใครถูกใครผิด แต่ถังฟั่นตระหนักดีว่าเรื่องเล็กๆ นี้เป็นแค่สายชนวน เพราะชิวจวิ้นกับหลี่จือเสิ่งเดิมก็เป็นตัวแทนของสองขั้วที่เข้ากันไม่ได้ แต่ละคนต่างไม่ถูกชะตาอีกฝ่ายมานานแล้ว พอดีฉวยโอกาสนี้ระเบิดออกมาเท่านั้นเอง

แต่เห็นว่าด้านหลังมีเกี้ยวสะสมมากขึ้นทุกที ทั้งสองถกเถียงต่อไป การประชุมขุนนางในเช้านี้คงมีคนขาดไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งเป็นแน่ แม้มิอาจนับว่ามาสาย ‘โดยไม่มีสาเหตุ’ แต่อย่างไรก็ดูไม่งามนัก

“อาจารย์” เขาส่งเสียงเรียก

ทุกคนหันมอง ถังเก๋อเหล่ามาแล้ว! ต่างคนรีบร้อนเปิดทางให้เขาพลางประสานมือคำนับทักทาย

คิดถึงว่าถังเก๋อเหล่าก็อาจไปสายเพราะเหตุนี้เช่นกัน อารมณ์ร้อนรุ่มของทุกคนพลันลดน้อย เปลี่ยนเป็นมีความรู้สึกอุ่นใจราวฟ้าถล่มกลับมีคนสูงกว่ามาค้ำไว้

ถังฟั่นแย้มยิ้มกับทุกคน ผงกศีรษะคำนับตอบ มิได้วางมาดมหาเสนาบดีใหญ่โตอันใด แต่ก็ไม่ถึงกับนอบน้อมเพื่อสร้างความประทับใจ หากกล่าวว่าบนโลกนี้มีคนจำพวกหนึ่งที่ใครได้เห็นเป็นต้องใจสลาย ถังฟั่นก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น

หากเป็นห้าหกปีก่อนเขาอาจจะไม่มีมาดเช่นนี้ ตำแหน่งฐานะและสภาพแวดล้อมมีผลต่อบุคลิกราศี นอกจากรูปร่างหน้าตาและภูมิความรู้ ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดจากสถานะที่เปลี่ยนไปก็สำคัญมากเช่นกัน และที่สำคัญกว่านั้นคือจิตใจที่ผ่าเผยและท่าทีอันงามสง่า

คนผู้หนึ่งมีแนวคิดเช่นไร เป็นตัวตัดสินว่าเขาจะได้ยืนอยู่บนความสูงระดับใด ดังสำนวนจิตใจกำหนดรูปลักษณ์ วั่นอันแม้เป็นราชเลขาธิการ รูปร่างสูงใหญ่บึกบึน แต่หากยืนอยู่กับถังฟั่น ด้านสง่าราศีและกิริยาท่าทีกลับด้อยกว่าขั้นหนึ่ง และหนึ่งขั้นที่ว่านี้ก็แผ่ซ่านจากภายในสู่ภายนอก ไร้รูปร่าง ยากรำพันยากพรรณนา

ชิวจวิ้นเห็นถังฟั่น สีหน้าค่อยผ่อนคลาย พลันนึกได้ว่าหลี่จือเสิ่งยังอยู่จึงกลับมาเคร่งขรึมดังเดิม

ถังฟั่นไม่รอชิวจวิ้นเอ่ยคำ กล่าวกับหลี่จือเสิ่ง “รองเสนาบดีหลี่ ในเมื่อเกี้ยวพังเสียหายแล้ว มากความไปไร้ประโยชน์ ยามนี้ฟ้ามืดถนนลื่น ยืดเยื้อต่อไปเกรงจะสายจริงๆ แล้ว ท่านรีบสั่งบ่าวไพร่ยกเกี้ยวออก เปิดทางให้คนด้านหลังก่อน”

หลี่จือเสิ่งสามารถไม่เห็นชิวจวิ้นในสายตา แต่กลับไม่อาจไม่เห็นแก่หน้าถังฟั่น

นี่เป็นเพราะเวลานี้บารมีของถังฟั่นในราชสำนักเพิ่มสูงขึ้นจนล้ำหน้าอาจารย์ของเขาแล้ว เกือบจะกลายเป็นผู้ทรงอิทธิพลสูงสุดในบรรดาขุนนางรุ่นเดียวกันอยู่รอมร่อ

หลี่จือเสิ่งจึงกล่าว “ถังเก๋อเหล่ามีคำสั่ง ผู้น้อยมิกล้าไม่ปฏิบัติตาม เพียงแต่คนหามเกี้ยวทั้งสี่ของผู้น้อยบาดเจ็บไปสองคน ผู้น้อยสั่งพวกเขากลับบ้านไปแล้ว ที่เหลืออีกสองเกรงว่าคงยกเกี้ยวไม่ไหว”

ถังฟั่นมิได้กล่าวอันใด หันบอกคนหามเกี้ยวของตน “ไปช่วยคนของรองเสนาบดีหลี่อีกแรง”

ในเมื่อเขามีเจตนาระงับเหตุ ผู้เป็นอาจารย์ย่อมไม่อาจฉีกหน้าศิษย์ ชิวจวิ้นจึงสั่งคนหามเกี้ยวของตนไปช่วยยกด้วยสีหน้าบึ้งตึง

ภายใต้การร่วมแรง เกี้ยวสองหลังถูกยกย้ายออกไปด้านข้างในที่สุด ทุกคนค่อยระบายลมหายใจโล่งอก

ถังฟั่นให้พวกเขาไปก่อน ด้วยเกรงจะไม่ทันเวลาทุกคนจึงไม่เกรงใจ รีบเอ่ยลาแล้วทยอยขึ้นเกี้ยวจากไป

“อาจารย์มิสู้นั่งเกี้ยวของศิษย์ไปประชุมเช้าเถอะ” ถังฟั่นบอกชิวจวิ้น

ชิวจวิ้นสั่นหน้า “ไม่ต้อง ข้าให้คนไปเช่าเกี้ยวหลังใหม่มาแล้ว”

ถังฟั่นหัวเราะ “ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่าง ไหนเลยจะมีเกี้ยวให้เช่า ท่านอย่าได้เกรงใจ ข้ายังหนุ่มแน่นไม่มีปัญหา ท่านแก่แล้วจะทนอากาศหนาวไม่ไหว”

พูดจบก็พยุงแกมบังคับอีกฝ่ายขึ้นเกี้ยวของตนเอง แล้วกำชับคนหามให้ส่งอาจารย์ถึงหน้าประตูวัง

เขามองส่งเกี้ยวหลังนั้นห่างออกไป ค่อยหันกลับมามองหลี่จือเสิ่งที่ยืนปั้นหน้าขุ่นขึ้ง กล่าวยิ้มๆ “รองเสนาบดีหลี่จะรอเกี้ยวเป็นเพื่อนข้า หรือเดินเท้าล่วงหน้าไปก่อน”

หลี่จือเสิ่งฝืนยิ้ม “ผู้น้อยเดินเท้าไปเข้าประชุมดีกว่าจะได้ไม่ล่าช้า ใต้เท้า ขอตัวก่อน”

ถังฟั่นมิได้เหนี่ยวรั้ง พยักหน้าพลางกล่าว “เชิญตามสบาย”

หิมะไม่หนา หากอยากเดินก็ยังพอได้ เพียงแต่ระหว่างเหยียบย่ำ หิมะจะเข้ารองเท้าอย่างมิอาจเลี่ยง ทำให้ถุงเท้าเปียกชื้น ถังฟั่นยินดีรั้งรอมากหน่อย ไม่ขอสวมรองเท้าเฉอะแฉะไปทั้งวัน เพราะนั่นคือความทรมานชนิดหนึ่ง

เขายืนใต้ชายคาบ้านริมถนน มองดูหลี่จือเสิ่งย่ำเดินห่างออกไปโดยมีบ่าวประคอง ก่อนเคลื่อนสายตามาหยุดมองเกี้ยวสองหลังที่กองระเกะระกะอยู่ริมทาง คล้ายมีบางสิ่งผุดวาบในใจ แต่กลับคว้าจับไม่ทัน

ถังฟั่นมีเกี้ยวแค่หลังเดียว คนหามต้องกลับไปขอยืมเกี้ยวจากบ้านสกุลสุยที่อยู่ติดกัน แต่ไปและกลับเที่ยวหนึ่ง ถังฟั่นต้องรออยู่กว่าครึ่งชั่วยามจึงเห็นพวกเขาหามเกี้ยวตรงมา

การประชุมขุนนางของต้าหมิงแบ่งออกเป็นการประชุมใหญ่ การประชุมรายเดือน และการประชุมทั่วไป

การประชุมใหญ่ก็คือการประชุมที่จัดขึ้นทุกเทศกาลใหญ่ๆ การประชุมรายเดือนคือทุกวันที่สิบห้า โดยปกติแล้วคือการประชุมทั่วไป นับแต่รัชศกหย่งเล่อเป็นต้นมาการประชุมทั่วไปเริ่มมีแนวโน้มเป็นเพียงรูปแบบ ทุกคนไปรายงานตัว ฟังวาจาไร้แก่นสารสองสามคำ จากนั้นต่างฝ่ายแยกย้ายกลับที่ทำงานของตนเอง

จวบจนเกี้ยวของถังฟั่นจอดลงที่หน้าประตูวัง ท้องฟ้าทอแสงเจิดจ้า บนถนนเปลี่ยนเป็นคึกคัก หิมะเริ่มละลายภายใต้แสงอาทิตย์ส่อง ไอหนาวหอบแล้วหอบเล่าคล้ายชำแรกผ่านเนื้อผ้าหนาหนักทะลุทะลวงถึงกระดูก

ยามนี้คะเนว่าประชุมเช้าคงเลิกแล้ว เดิมถังฟั่นก็ไม่คิดไปร่วมวงครึกครื้น แต่ตั้งใจบ่ายหน้าไปหอเหวินยวนโดยตรง

ปรากฏว่าเพิ่งถึงประตูวัง เขาพลันถูกสกัดไว้

ถังฟั่นเลิกคิ้วนิดหนึ่ง “อย่างไร หนึ่งวันไม่พบ พวกเจ้าจำข้าไม่ได้แล้ว?”

อีกฝ่ายรีบยิ้มกล่าว “หามิได้ ถังเก๋อเหล่า ท่านอย่าถือสาข้าน้อย เพราะเป็นคำสั่งจากเบื้องบน บอกว่าวันนี้มีคนมาสายมากมายเหลือเกิน ฝ่าบาทกริ้วหนัก รับสั่งว่าคนที่มาสายล้วนให้ยืนสำนึกผิดอยู่ด้านนอกทั้งหมด ข้าน้อยก็มิกล้าฝ่าฝืนคำสั่ง”

ถังฟั่นฉงนใจ “เช่นนั้นผู้ตรวจการชิวและรองเสนาบดีหลี่เล่า เจ้าเห็นพวกเขาหรือไม่”

อีกฝ่ายตอบ “เห็นขอรับ พวกเขาเข้าไปแล้ว มาถึงเร็วกว่าท่านครึ่งชั่วยาม หวุดหวิดไม่ทันเวลา คนอื่นๆ ด้านหลังกลับไม่โชคดีปานนั้น ล้วนถูกลากไปรับโทษโบย ข้าน้อยคิดว่าวันนี้ท่านลากิจสักวัน อย่าเข้าไปดีกว่า”

ตามระเบียบราชสำนัก มาสายโดยไม่มีสาเหตุต้องถูกโบยสิบไม้ แม้แต่ขุนนางในสภาขุนนางก็ต้องโดนถอดกางเกงโบยก้นต่อหน้าธารกำนัล นั่นคงเป็นเรื่องที่ครึกโครมอย่างยิ่ง คะเนว่าถึงเวลานั้นถังฟั่นคงไม่อยากออกจากบ้านหนึ่งเดือนเต็ม

แต่จักรพรรดิองค์นี้ทรงเอื่อยเฉื่อยเสียเอง บวกกับพระทัยอ่อน เรื่องเฆี่ยนตีเพราะมาสายทำนองนี้ไม่เคยปรากฏให้เห็นนานแล้ว อย่างมากเพียงหักเบี้ยหวัด ไฉนวันนี้กลับทำลายวิถีปฏิบัติแล้ว

ถังฟั่นจึงถาม “ฝ่าบาทพิโรธด้วยสาเหตุใด เจ้ารู้หรือไม่”

ทหารยามนายนั้นสั่นหน้า “นี่กลับสร้างความลำบากใจต่อข้าน้อยแล้ว ด้วยฐานะของข้าน้อย ไหนเลยจะสอบถามเรื่องเหล่านี้ได้”

ทว่ายืนอยู่เช่นนี้ต่อไปมิใช่วิธีการ ถังฟั่นใช้ความคิด “เช่นนี้เถอะ เจ้าไปแจ้งหัวหน้าพวกเจ้า บอกว่าข้า…”

ไม่ทันจบคำ พลันปรากฏเสียงคนเรียกจากด้านหลัง “รุ่นชิง!”

ถังฟั่นเหลียวหน้า เห็นเกี้ยวหลังหนึ่งที่พวกคนหามวิ่งไปหอบไปกำลังตรงมาก่อนจอดลงไม่ไกลจากเขา จากนั้นคนผู้หนึ่งก็มุดออกมาแล้วก้าวยาวๆ มาทางถังฟั่น กลับเป็นหลิวเจี้ยนที่ทำงานในสภาขุนนางเช่นกัน

หลิวเจี้ยนอายุเลยห้าสิบ รูปร่างผอมบางแต่สติกลับแจ่มชัด บวกกับร่างสูงเด่น เส้นผมดกดำ ปราศจากเค้าชราภาพแม้แต่น้อย แลดูอายุไม่เกินสี่สิบเศษ

ถังฟั่นจึงหยุดลง ประสานมือคำนับอีกฝ่าย “พี่หลิวเจี้ยน”

ทั้งสองแม้วัยต่างยี่สิบปี แต่อยู่ร่วมสภาขุนนาง ศักดิ์ฐานะกลับทัดเทียมกัน ตามหลักแล้วเพียงเรียกขานนามแฝงก็ใช้ได้ แต่เพื่อแสดงถึงความเคารพต่อผู้อาวุโส ถังฟั่นจึงเรียกขานหลิวเจี้ยนด้วยชื่อรอง

หลิวเจี้ยนปาดเหงื่อเหนือหน้าผาก พออ้าปากก็เอ่ยถาม “ไยเจ้ามาสายเหมือนกัน”

ถังฟั่นยิ้มขื่น “ดูท่าวันนี้ไม่เหมาะแก่การเดินทางจริงๆ” เขาหันไปกล่าวกับทหารยามเฝ้าประตูวังอีกที “เจ้าผ่อนผันสักนิดได้หรือไม่ ให้พวกเราเข้าไป พวกเราจะอธิบายต่อเบื้องพระพักตร์เอง”

อีกฝ่ายเห็นมีขุนนางในสภามาเพิ่มอีกคนก็นึกในใจ วันนี้เป็นวันอะไร มิใช่อีกเดี๋ยวมีมาอีกคน มหาเสนาบดีแห่งแคว้นถูกสกัดอยู่นอกประตูวังเพราะมาสาย ช่างเป็นเรื่องชวนหัวครั้งใหญ่จริงๆ

เขาเผยสีหน้าลำบากใจ “ต้องขออภัยท่านทั้งสองด้วย เบื้องบนมีคำสั่งเฉียบขาด ข้าน้อยเพียงปฏิบัติตาม มิกล้าฝ่าฝืน ไม่เช่นนั้นท่านทั้งสองไร้เรื่องราว พวกเราที่อยู่ยามกลับต้องรับโทษแล้ว”

หลิวเจี้ยนเป็นคนมีน้ำใจ พอฟังก็กล่าวกับทหารยามว่า “เช่นนั้นเจ้าช่วยเข้าไปรายงานแทนพวกเรา พวกเราจะรออยู่ตรงนี้”

อีกฝ่ายรับคำ ทิ้งพวกพ้องอยู่เฝ้า ตนเองหมุนกายวิ่งเข้าด้านใน

อากาศเย็นเฉียบที่สุดคือช่วงหิมะละลาย แม้ห่มห่อลำตัวด้วยเสื้อคลุมหนาเตอะ ใต้ชุดขุนนางยังสวมเสื้อนวมอีกชั้น ก็ยังมิอาจต้านทานไอหนาวที่ลอดผ่านแขนเสื้อเข้าไปได้ หลิวเจี้ยนและถังฟั่นยืนอยู่ปากประตู ต่างพากันถูมือขยี้เท้าเพื่อคลายหนาว

ถังฟั่นเอ่ยถาม “เหตุใดพี่หลิวเจี้ยนก็มาสาย”

หลิวเจี้ยนยิ้มเจื่อน “เฮ้อ อย่าให้พูดเลย ถนนที่ใช้เดินทางมาเข้าประชุมไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จู่ๆ มีคนมาขุดลอกทางน้ำแต่เช้า สุดท้ายกีดขวางถนนไม่ว่า คนหามเกี้ยวของข้ายังพลาดท่าตกลงไป ข้าจึงได้แต่ให้คนกลับบ้านไปตามคนใหม่มา แล้วยังต้องอ้อมอีกตั้งไกลกว่าจะมาถึงที่นี่ได้”

เขาพูดจบพลันพบว่าถังฟั่นปั้นหน้าพิลึกจึงเอ่ยถามอีกฝ่าย “ว่ากระไร”

ถังฟั่นบอกเล่าสาเหตุที่ตนมาสายให้เขาฟังเที่ยวหนึ่ง

ทั้งคู่หาใช่ชนชั้นโง่งม ในใจฉุกคิดตรงกัน มีหรือจะรู้สึกไม่ได้ถึงความบังเอิญและแปลกประหลาดในเรื่องราวนี้

หลิวเจี้ยนลากทหารยามอีกนายมาไถ่ถาม “ในสภาขุนนางนอกจากพวกเราสองคน คนอื่นๆ เข้าไปแล้วหรือยัง”

ทหารยามนายนั้นไม่กระจ่างความนัย เพียงตอบตามสัตย์ “ล้วนเข้าไปแล้ว”

หลิวเจี้ยนถามอีก “สวีผู่เล่า เขาก็เข้าไปแล้ว?”

ทหารยามตอบ “ขอรับ สวีเก๋อเหล่าเข้าไปแต่เช้าตรู่แล้ว”

หลิวเจี้ยนสบตาถังฟั่นแวบหนึ่ง “รุ่นชิง เจ้าคิดว่า…?”

ถังฟั่นเอ่ยเสียงเครียด “เข้าไปก่อนค่อยว่ากัน”

ทหารยามเห็นพวกเขาทำหน้าไม่ซื่อคล้ายจะฝ่าเข้าไป จึงรีบกล่าว “ท่านทั้งสองได้โปรดอย่าทำให้ข้าน้อยลำบากใจ สหายข้าน้อยคนนั้นก็เข้าไปรายงานแล้ว คิดว่าคงออกมาในไม่ช้า ท่านทั้งสองรั้งรออีกหน่อยเถอะ”

หลิวเจี้ยนกล่าว “เมื่อเข้าไปแล้วพวกเราย่อมต้องไปขออภัยโทษต่อเบื้องพระพักตร์ เจ้าไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบแต่อย่างใด”

พูดจบก็ก้าวสวบๆ ขึ้นหน้า ทหารยามทำอะไรไม่ถูก อยากจะยับยั้งแต่กลับไม่กล้า เกรงอาวุธจะทำร้ายเสนาบดีทั้งสองบาดเจ็บ ถึงเวลาขึ้นมาคนที่ดวงตกยังคงเป็นตนเอง

“หยุดเดี๋ยวนี้” ทั้งสองล่วงเข้าประตูได้ไม่กี่ก้าวก็เห็นทหารรักษาพระองค์กลุ่มเล็กโผล่มาแต่ไกล

หลิวเจี้ยนและถังฟั่นชะงักเท้า รอพวกเขาเดินมาใกล้

อีกฝ่ายมิได้พูดง่ายเหมือนทหารยามเฝ้าประตู สีหน้าไร้ความรู้สึก คล้ายไม่นับญาติกับใครทั้งสิ้น ต่อให้ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนแสดงชัดถึงฐานะ อีกฝ่ายก็ยังคงขอให้พวกเขาล่าถอยออกนอกประตู ไม่อาจล่วงล้ำ

หลิวเจี้ยนโกรธจัด “พวกเราเป็นถึงสมาชิกสภาขุนนาง หรือต้องเชื่อฟังคำสั่งชนชั้นเยี่ยงพวกเจ้า นี่ที่แท้เป็นพระบัญชาของฝ่าบาทหรือไม่ รอให้พวกเราเข้าเฝ้าย่อมกระจ่างเอง ยังไม่ถอยไป!”

อีกฝ่ายถึงกับไม่หลบไม่ถอย ปราศจากสีหน้ายำเกรง เพียงประสานมือกล่าวว่า “นี่เป็นพระบัญชาของฝ่าบาทโดยแท้ ผู้น้อยไหนเลยจะกล้าแอบอ้าง ท่านทั้งสองโปรดอภัย”

หลิวเจี้ยนใคร่จะบันดาลโทสะ ถังฟั่นกลับปรามไว้ แล้วถามหัวหน้ากลุ่มทหารรักษาพระองค์นายนั้น “เจ้าได้ยินพระบัญชานี้กับหู?”

“ถูกต้อง” อีกฝ่ายตอบ

“เช่นนั้นเป็นพระบัญชาตั้งแต่เมื่อใด ด้านข้างยังมีใครอีก” ถังฟั่นถาม

อีกฝ่ายไม่ทราบเจตนาของถังฟั่น ขณะลังเลว่าควรตอบคำถามนี้หรือไม่ กลับเห็นถังฟั่นสาดประกายแรงกล้าในดวงตาคล้ายจะแปลงเป็นคมมีดได้ เขาพลันสะท้านใจ โพล่งตอบโดยไม่รู้ตัว “ตอนนั้นยังมีรองเสนาบดีกรมพิธีการฝ่ายซ้ายหลี่จือเสิ่งอยู่ด้วย”

เจ้าหลานเต่านั่น!

หลิวเจี้ยนแทบหลุดปากสบถ ดีที่ยั้งไว้ทัน เขามิใช่ชิวจวิ้น ไม่มีทางควบคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่

กระนั้นก็ตาม สีหน้าเขายังคงเปลี่ยนเป็นไม่ชวนมอง

หลี่จือเสิ่งเป็นขุนนางกรมพิธีการ มีเหตุผลที่จะใช้ข้ออ้างเรื่องปรับแก้ธรรมเนียมปฏิบัติให้จักรพรรดิทรงลงโทษคนที่มาสายได้อย่างเต็มที่ แต่ไยเขามาเลือกเอาวันนี้ และประจวบกับขัดขวางถังฟั่นกับหลิวเจี้ยนสองคนพอดีอีกด้วย

ก่อนหน้านี้พวกเขาทั้งสองยังเข้าใจว่าในวังเกิดเรื่องอันใด แต่ขบคิดละเอียดก็ทราบว่าเป็นไปไม่ได้ แม้โอรสสวรรค์องค์นี้จะไม่ใส่พระทัยในราชกิจมากขึ้นทุกวัน แต่ในราชวงศ์นี้โดยเฉพาะหลังจากจักรพรรดิอิงจงเป็นต้นมา เหตุการณ์ประเภทยึดวังหลวงก่อกบฏล้วนเป็นไปไม่ได้ที่จะเกิดขึ้น

ในเมื่อทางจักรพรรดิมิได้เกิดเรื่อง เช่นนั้นที่ที่อาจจะเกิดเรื่องก็มีแค่สภาขุนนาง

ใคร่ครวญลงลึกอีกชั้น หากมีเรื่องใหญ่โตอันใดจำเป็นต้องผ่านความเห็นชอบของสภาขุนนาง คนอย่างวั่นอันย่อมตระหนักดีว่าหลิวเจี้ยนกับถังฟั่นไม่มีทางรับปากแน่ ดังนั้นต้องเสาะหาสารพัดวิธีเพื่อกันพวกเขาออกห่าง เมื่อปราศจากหลิวเจี้ยนกับถังฟั่น หลิวจี๋เป็นคนไร้จุดยืน สวีผู่ก็โต้เถียงผู้อื่นไม่ทัน สถานการณ์ในสภาขุนนางก็จะโน้มเอียงไปทางหนึ่ง

รอจนข้าวสารกลายเป็นข้าวสุก ต่อให้ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนคัดค้านก็ไม่ทันการณ์แล้ว

ครุ่นคิดถึงตรงนี้ทั้งสองพลันเบี่ยงเท้าเปลี่ยนทิศ ไม่ไปตำหนักเฉียนชิงแล้ว แต่บ่ายหน้าสู่หอเหวินยวนโดยตรง

ทหารรักษาพระองค์มีหน้าที่ค้ำคอ หากก็ไม่กล้าสกัดด้วยกำลัง ได้แต่ไล่ติดตามด้านหลังทั้งสองพลางร้องเรียก “ใต้เท้าทั้งสองโปรดช้าก่อน ใต้เท้าทั้งสองโปรดหยุดเท้าด้วย”

ถังฟั่นและหลิวเจี้ยนกลับหาแยแสไม่ ก้าวสวบๆ ขึ้นหน้า ด้านหลังมีคนตามเป็นพรวน แลดูน่าขันยิ่ง

แต่ทางหอเหวินยวนกลับเป็นสภาพการณ์อีกรูปแบบหนึ่ง

การประชุมทั่วไปในวันนี้จักรพรรดิมิได้เสด็จมา ทุกคนล้วนชินแล้ว ประชุมกันไปตามธรรมเนียมแล้วจึงกลับหน่วยงานของแต่ละคน วั่นอันเรียกประชุมสมาชิกสภาขุนนาง เนื้อหาเกี่ยวข้องกับปรากฏการณ์บนท้องฟ้าในระยะนี้นั่นเอง

สายตาของเขากวาดผ่านตั้งแต่หลิวจี๋รองราชเลขาธิการ เก็บภาพสีหน้าของทุกคนในที่นั้นอย่างละเอียดภายในเวลาอันสั้น สุดท้ายครรลองสายตาตกลงที่สองตำแหน่งซ้ายขวาของสวีผู่ ชั่วครู่สั้นๆ ก็ถอนสายตาเก็บกลับมา

“การโคจรของดวงดาวอย่างผิดวิสัยเกิดขึ้นต่อเนื่องกัน ผู้คนทั่วหล้าพากันหวาดผวา คิดว่าทุกท่านคงได้สัมผัสมาบ้าง” เขากล่าวอารัมภบท เห็นทุกคนปราศจากท่าที จึงกล่าวสืบต่อ “เรื่องรัชทายาทถวายฎีกาขออภัยโทษ ทุกท่านคงได้ฟังมาแล้ว พวกเราในฐานะข้าราชบริพารสมควรสำรวจเจตนารมณ์เบื้องสูง สมควรทุกข์ร้อนในสิ่งที่ฝ่าบาทร้อนพระทัย คิดว่าพระประสงค์ของฝ่าบาทมีหลายเรื่องที่แม้พระองค์มิได้รับสั่ง แต่พวกเราสมควรกระจ่างแก่ใจ”

ถ้อยคำเหล่านี้คล้ายจริงแต่เท็จ ฟังแล้วแปลกพิลึก ทว่าในที่นั้นล้วนเป็นผู้กลมกลิ้งในแวดวงขุนนาง โดยมากไม่จำเป็นต้องกล่าวชัดแจ้ง อย่างเช่นหลิวจี๋เองก็เข้าใจในบัดดลว่าวั่นอันใคร่ใช้โอกาสนี้รวมเสียงในสภาขุนนาง ยุยงจักรพรรดิปลดรัชทายาท!

ถึงว่าวันนี้หลิวเจี้ยนกับถังฟั่นไม่มา! เขาลอบด่าสองคนนั้นในใจ คิดว่าอีกฝ่ายได้ข่าวแต่แรก ดังนั้นจึงจงใจหลบเลี่ยง กลับคิดไม่ถึงว่าเวลานี้เกี้ยวของสองคนนั้นยังถูกสกัดอยู่กลางทาง

หลิวจี๋มิใช่กลุ่มอำนาจวั่นและมิใช่กลุ่มรัชทายาท เขาไม่ถูกกับวั่นอัน ทั้งจับตาวิเคราะห์สถานการณ์โดยตลอด ดังนั้นทางใดลมแรงก็เอนไปทางนั้น เช่นเรื่องในวันนี้ หากระแคะระคายล่วงหน้าเขาไม่มีทางมาร่วมประชุมเช้าแน่ ลาป่วยอยู่กับบ้านเลี่ยงความยุ่งยากไปเลยดีกว่า ถึงเวลานั้นหากรัชทายาทไม่ล้ม เขาก็นับว่ามิได้ล่วงเกินรัชทายาท หากซิงอ๋องสามารถขึ้นสู่ตำแหน่ง เขาก็ถวายฎีกาอวยพระพรรัชทายาทองค์ใหม่ ทางใดล้วนมิได้ล่วงเกิน นี่จึงเป็นวิถีอันยั่งยืนของการเป็นขุนนาง

มิคาดว่าวันนี้วั่นอันจู่ๆ กลับใช้กระบวนท่านี้ บันดาลให้ผู้คนปัดป้องไม่ทัน

หลิวจี๋ความคิดลุ่มลึกอีกทั้งสามารถสงบนิ่งอยู่ได้ สวีผู่กลับตะลึงลานแล้ว สีหน้าตื่นตระหนกปิดไม่อยู่

วั่นอันทำเป็นไม่เห็นท่าทีของทั้งสอง ยังคงกล่าวสืบไป เผิงหวาและอิ่นจื๋อเป็นเพราะเตรียมใจแต่แรก สีหน้าจึงนิ่งเฉยดุจเดิม

“ข้าร่างราชโองการฉบับหนึ่งเตรียมถวายต่อฝ่าบาท ทุกคนลองอ่านดู หากไม่มีปัญหาก็ลงนามบนนั้น ถือเป็นการร่วมลงชื่อของพวกเราสภาขุนนาง”

เขากล่าวจบก็ผลักหนังสือฎีกาตรงหน้าออกไปให้หลิวจี๋ทางซ้ายมือของตนเอง

เรื่องราวถึงขั้นนี้ หลิวจี๋ย่อมมิอาจไม่รับ เขากางฎีกาออกดู พบว่าด้านในแม้มิได้เอ่ยถึงการปลดรัชทายาทสักคำ ทว่าทุกคำล้วนแฝงนัยเร่งเร้าจักรพรรดิตัดสินพระทัยโดยเร็ว ทั้งยังระบุว่าไม่ว่าจักรพรรดิตัดสินพระทัยเช่นไร สภาขุนนางล้วนจะสนับสนุน

จักรพรรดิปลดรัชทายาท หากสภาขุนนางและขุนนางทัดทานร่วมกันเป็นปฏิปักษ์กับจักรพรรดิ นั่นก็เท่ากับทั่วทั้งราชสำนักพร้อมใจคัดค้าน จักรพรรดิก็มิอาจไม่พิจารณาความเห็นของเหล่าขุนนาง

แต่หากสภาขุนนางยืนข้างจักรพรรดิ ทั้งสามารถเกลี้ยกล่อมขุนนางทัดทานแทนจักรพรรดิ เบื้องล่างจะปั่นป่วนเช่นไรก็มีขีดจำกัด

เมื่อแจ่มแจ้งในแผนการของวั่นอัน หลิวจี๋ลอบหัวเราะเย็นชา เงยหน้ากล่าวว่า “หยวนเวิง หลิวซีเสียนกับถังรุ่นชิงยังมาไม่ถึง การร่วมลงชื่อของสภาขุนนางนี้ขาดพวกเขาไปสองคน เกรงว่าไม่เหมาะกระมัง มิสู้รอวันอื่นพวกเขามาแล้วค่อยว่ากัน”

วั่นอันสีหน้าไม่แปรเปลี่ยน “ไม่ต้องแล้ว วันนี้พวกเขาสองคนลา มีพวกเราลงนามก็เพียงพอ”

ความนัยของถ้อยคำคือหลิวเจี้ยนและถังฟั่นอยู่ลำดับท้ายแถวของสภาขุนนาง มีหรือไม่มีพวกเขาก็ไม่แตกต่าง

หลิวจี๋กลับระบายยิ้ม “หยวนเวิงกล่าวผิดแล้ว อย่างไรก็ตามพวกเราล้วนเป็นสมาชิกสภาขุนนาง จะมองข้ามพวกเขาทั้งสองได้อย่างไร รั้งรอพร้อมหน้าค่อยว่ากันเถอะ”

จบคำ เขาพับปิดฎีกาและผลักให้เผิงหวาทางด้านข้าง

เผิงหวารับมาเปิดอ่านคร่าวๆ ก่อนยกพู่กันตวัดชื่อตนเองลงไป ก้มหน้าเป่าเล็กน้อย รอน้ำหมึกแห้งจึงส่งต่อให้อิ่นจื๋อ

หลังอิ่นจื๋อลงชื่อตนเอง ฎีกาย้อนกลับมาที่เบื้องหน้าหลิวจี๋อีกครั้ง

สายตาทุกคู่ตกลงบนร่างหลิวจี๋

ยามนี้เห็นว่าไม่อาจทำเป็นเมินเฉยได้ หลิวจี๋จึงกล่าว “สภาขุนนางมีธรรมเนียมร่วมลงชื่อถวายฎีกาตั้งแต่เมื่อใด ไยข้าไม่ทราบ หยวนเวิงกระทำเช่นนี้ไม่ถูกระเบียบกระมัง หากผู้คนล่วงรู้เข้าคงได้ตำหนิพวกเราสภาขุนนางว่าแทนที่จะทักท้วงฝ่าบาท กลับเหลวไหลเลอะเทอะตามไปด้วย”

วั่นอันกล่าวชืดๆ “พวกเราไหนเลยมิได้ทักท้วงฝ่าบาท ฎีกาฉบับนี้ก็คือกระตุ้นให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัยโดยเร็วเพื่อสยบเสียงวิพากษ์ต่างๆ นานา เลี่ยงมิให้เป็นข่าวโคมลอยจนผู้คนจิตใจไหวคลอน”

เขาทุ่มเทกำลังความคิดทั้งหมดจึงเขียนฎีกาเช่นนี้ออกมาได้ มาตรว่าทุกจุดล้วนมีนัยให้จักรพรรดิตัดสินพระทัยโดยเร็ว กลับไม่มีคำใดที่เอ่ยถึงคำปลดรัชทายาท จึงไม่วิตกว่าจะเป็นจุดอ่อนในมือผู้อื่น

ลงชื่อหรือไม่ลงชื่อ?

ในใจหลิวจี๋กำลังชั่งน้ำหนัก

หากไม่ลงชื่อ ล่วงเกินวั่นอันนั้นเรื่องเล็ก สำคัญกว่าคือจะเป็นการล่วงเกินวั่นกุ้ยเฟย ผู้ใดไม่ทราบบ้างว่าคนที่ปรารถนาให้ปลดรัชทายาทมากที่สุดก็คือวั่นกุ้ยเฟย และนางต่างหากคือบุคคลสำคัญที่สามารถทำให้จักรพรรดิอยู่ในโอวาท

Comments

comments

Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 1-2

บทที่ 1 ฮ่องเต้หญิง   “ท่านพี่นำร้อง น้องหญิงคลอรับ ท่านพี่เสียงเพิ่งลับ น้องหญิงสลับขึ้นเวที เป็นมารดาอารี มีบุตรีกตัญญ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ร้อยเรียงรักเคียงฤทัย บทนำ – 1.2

บทนำ ความหลังของต้าลี่ 1   ฤดูหนาวในรัชศกต้าลี่ปีที่สิบเอ็ด โม่เป่ย ตำบลค่งหม่า สถานที่แห่งนี้คือประตูด่านสำคัญสุดท้ายทา...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 7-8

บทที่ 7 ค่าเดินทาง เมื่อภูตสุนัขดำคืนร่างเป็นสุนัขธรรมดาตัวหนึ่ง ภูตบุปผาสองตนนั้นก็ไม่อาจทำการใหญ่ ต่อให้ชาวหมู่บ้านป่า...

จุติรัก พลิกชะตาร้าย

ทดลองอ่าน จุติรัก พลิกชะตาร้าย บทที่ 3-4

บทที่ 3 เกิดใหม่   เวิ้งฟ้าดำสนิทปานน้ำหมึก เพียงมีดวงดาวบางตากระจัดกระจายบนม่านฟ้า ทอรัศมีอ่อนจางประเดี๋ยวเผยประเดี๋ยวเ...

community.jamsai.com