ฟ้าเพิ่งเริ่มสาง ในคฤหาสน์หลังใหญ่จึงมีเพียงแสงสลัว โคมไฟบนระเบียงทางเดินล้วนถูกปลดลงมาแล้ว อาเหม่าที่ออกจากห้องมาแต่เช้ามุ่งหน้าไปทางห้องครัว เตรียมยกน้ำร้อนเพื่อนำไปปรนนิบัตินายท่านและฮูหยินใหญ่หลังตื่นนอนได้ทันที
ฮูหยินผู้เฒ่าหานมีบุตรสองคน หลังจากบุตรทั้งสองของนางแต่งงานจนกระทั่งมีบุตรแล้วก็ยังอาศัยอยู่ร่วมกัน นายท่านใหญ่บุตรคนโตนั้นมีภรรยาเอกหนึ่งคนและอนุสามคน เขามีบุตรอยู่เต็มบ้าน ส่วนนายท่านรองกลับมีภรรยาเอกเพียงคนเดียว มิใช่เพราะเขาไม่อยากมีอนุ เพียงแต่นายท่านรองเป็นคนอ่อนแอ ทั้งสกุลเดิมของฮูหยินเรือนรองก็ค่อนข้างมีอำนาจ นางจึงยิ่งวางอำนาจ คุมนายท่านรองจนเขาอยู่ในโอวาท กระทั่งไม่กล้าขัดใจด้วยเรื่องใดๆ ทั้งคู่จึงมีบุตรชายด้วยกันเพียงคนเดียว ซึ่งอยู่ในลำดับสามของบุตรทั้งสองเรือน
อาเหม่าที่รับใช้อยู่ในเรือนของฮูหยินใหญ่ได้นั้นเป็นเพราะนางฉลาดเรียบร้อย และไม่เคยจุ้นจ้านวุ่นวาย นางจึงได้รับความโปรดปรานจากฮูหยินใหญ่เป็นอย่างมาก ฉะนั้นจึงไม่เคยถูกด่าทอทุบตีเหมือนบ่าวรับใช้คนอื่น เคยมีบ่าวรับใช้ชายคนหนึ่งขอร้องให้ฮูหยินใหญ่ยกอาเหม่าให้แต่งงานกับเขา ทว่าฮูหยินใหญ่กลับมิได้ตอบตกลงไป
เทือกเขาสีครามที่อยู่ไกลออกไปเดิมเป็นเพียงสีสลัวเลือนราง ทว่ายามนี้รุ่งอรุณกำลังมาเยือน อาทิตย์ยามเช้าค่อยๆ โผล่พ้นบนยอดเขาแล้วส่องแสงอาบทอลงสู่ผืนดิน
แม้รัตติกาลหนาวเย็นเพิ่งจางหายไป แต่ยังคงทิ้งไอเย็นเบาบางไว้ในอากาศ
เมื่ออาเหม่าเอียงหน้ามองแสงแดด ความง่วงก็หายไปไม่น้อยแล้ว ทันใดนั้นอีกฝั่งหนึ่งของระเบียงยาว ก็มีเสียงฝีเท้าหนักแน่นและเนิบช้าประสานกับเสียงฝีเท้าของนางดังขึ้น
ในฐานะที่อาเหม่าเป็นคนที่ขยันที่สุดของคฤหาสน์สกุลหาน น้อยมากที่นางจะพบบ่าวคนอื่นระหว่างทางไปห้องครัว
หรือจะเป็นผู้คุ้มกันที่ลาดตระเวนยามวิกาล?
นางรู้สึกสนใจใคร่รู้ขึ้นมา จึงมองเบื้องหน้าอย่างจริงจัง
ยามที่เสียงฝีเท้าค่อยๆ ใกล้เข้ามา เงาร่างก็พลันแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ แสงอรุณที่ถูกชายคาบดบังจนสะท้อนเข้ามาจากด้านนอกส่องกระทบใบหน้าของคนผู้นั้นให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น อาเหม่าเดินไปอีกไม่กี่ก้าว ใบหน้าของคนผู้นั้นก็ปรากฏเข้าสู่สายตาของนาง
เป็นพ่อบ้านคนใหม่…
และไม่รู้ว่าเป็นเพราะ ‘กินปูนร้อนท้อง’ หรืออย่างไร อาเหม่าจึงรีบหลุบสายตาลงทันที แล้วก้มหน้าก้มตาเดิน ทั้งอยากให้ตนเองมีวิชาหายตัวเสียให้รู้แล้วรู้รอด
เซี่ยฟั่งเองก็เห็นอาเหม่าแล้วเช่นกัน ทั้งยังเห็นว่านางจงใจหลบสายตาเขา ก็ให้นึกถึงสาวใช้คนเมื่อวาน เขาขบคิดใคร่ครวญอีกเล็กน้อย ด้วยไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงดูกลัวเขานัก หรือว่าหน้าตาเขาดุดันมากอย่างนั้นหรือ
เมื่อทั้งสองกำลังจะเดินสวนกัน พวกเขายังคงต่างพากันนิ่งเงียบ ทว่าขณะกำลังจะสวนผ่านกันไปนั้น อาเหม่าจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าอย่างไรเขาก็เป็นพ่อบ้าน นางจึงหยุดฝีเท้าแล้วทักทายอีกฝ่ายขึ้นก่อน
เซี่ยฟั่งพยักหน้าเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “เจ้าชื่ออะไร”
“อาเหม่าเจ้าค่ะ”
“เหม่า…”
ได้ยินเขาเรียกชื่อของตนเองซ้ำ อาเหม่าจึงเอ่ยตอบ “ข้าเกิดช่วงยามเหม่า* บิดาจึงตั้งชื่อนี้ให้”
เซี่ยฟั่งแย้มยิ้ม “ช่วงเวลาฟ้าสาง เป็นช่วงที่แสงแดดยามเช้าส่องทอฟ้าดิน”
ถ้อยคำนี้ช่วยลดทอนความห่างเหินที่อาเหม่ามีต่อเขาอย่างแยบยล คิดไปคิดมา ล้วนเป็นความผิดของใบเซียมซีแท้ๆ เชียว แต่นางเองก็ไม่ควรเก็บเรื่องนั้นมาใส่ใจเช่นนี้เลย นางกล่าวลาเขา ในขณะที่เดินไปยังเรือนของฮูหยินใหญ่ก็อดหันกลับไปมองเขาไม่ได้
เช้าตรู่ในฤดูร้อนอากาศยังเย็นสบาย บรรยากาศรอบตัวพ่อบ้านเซี่ยก็ผ่อนคลายเช่นเดียวกัน เพียงแต่ยามที่เขาเดินอยู่บนระเบียงทางเดินตามลำพัง เหตุใดตัวเขาจึงได้ดูเงียบเหงาเช่นนั้น
อาเหม่าส่ายหน้า รู้สึกว่าตนเองช่างน่าขำ เขาตัวคนเดียว ทว่านางเองก็เดินบนระเบียงคนเดียวเหมือนกันมิใช่หรือ ทำราวกับสงสารตนเองอย่างไรอย่างนั้นไปได้