คืนนี้หานฮูหยินไม่มีเวลาเล่นงานอาเหม่า แต่อาเหม่ารู้ว่าตนคงยากจะพ้นโทษ
อาจเป็นเพราะรู้ อาเหม่าจึงไม่ลนลาน เซี่ยฟั่งเองก็เดาได้ว่าอาเหม่าจะไม่หักหลังหลิ่วอิง ดังนั้นตอนที่เจอนางในคฤหาสน์อีกครั้ง เขาจึงสำรวจใบหน้าของนางเป็นอย่างแรก เมื่อไม่เห็นรอยฝ่ามือ จึงมองลงไปที่มือและแขนของนาง แต่ก็ไม่พบร่องรอยการถูกเฆี่ยนตี
แค่ครู่เดียวเขาก็กวาดมองอาเหม่าจนถ้วนทั่ว จ้องเสียจนนางหน้าร้อนผ่าว “พ่อบ้าน”
เซี่ยฟั่งเพิ่งกลับถึงคฤหาสน์ เขายังมีหน้าที่ที่ต้องทำอีกมากมาย เดินไปได้สองก้าวก็กล่าวว่า “คืนนี้เจ้ามีเวลาว่างหรือไม่”
“ว่างเจ้าค่ะ” ยามนี้หานฮูหยินไม่มีแก่ใจทำอะไรทั้งสิ้น เจ้าบ้านสกุลหานเองก็ปลีกตัวมิได้ บ่าวรับใช้ในเรือนจึงต่างว่างกันถ้วนหน้า
“เช่นนั้นเจ้าก็มาช่วยงานข้าอย่างหนึ่ง”
อาเหม่ารับปากทันที แม้จะไม่รู้ว่าต้องช่วยอะไร ทว่าแค่ช่วยเซี่ยฟั่งได้ก็พอ
เซี่ยฟั่งไปที่ห้องบัญชี หยิบบัญชีของเดือนนี้แล้วกล่าวกับอาเหม่าว่า “เจ้าจดสิ่งของที่พวกบ่าวรับใช้ซื้อมาลงในนี้ ข้าจะไปดูของที่ฮูหยินกับพวกอี๋เหนียงจับจ่าย”
อาเหม่าชะงักอึ้ง มองพู่กันที่เขายื่นให้ด้วยความลังเล “งานนี้ เกรงว่าข้าคงช่วยท่านมิได้แล้ว”
“หืม?” เซี่ยฟั่งเข้าใจโดยพลัน “เจ้า…อ่านเขียนมิได้หรือ”
อาเหม่าพยักหน้า นี่เป็นเรื่องที่เซี่ยฟั่งคิดไม่ถึง แต่เมื่อคิดให้ดีนี่ก็มิใช่เรื่องประหลาดแต่อย่างใด ให้เป็นคนที่ฉลาดหลักแหลมเพียงใดหากไม่เคยเข้าสำนักศึกษาและไร้ซึ่งคนสอนสั่งตำรา จะไม่รู้หนังสือก็ไม่นับว่าแปลกอะไร
“ข้ารู้จักสาวใช้ที่อ่านเขียนได้ นางน่าจะจดพวกนี้ได้ ข้าจะไปเรียกนางมา”
อาเหม่ากำลังจะไป เซี่ยฟั่งก็เรียกนางไว้ “ไม่ต้องแล้ว”
จะให้คนอื่นทำงานนี้เซี่ยฟั่งก็ไม่ไว้ใจ อาเหม่าเป็นคนละเอียดลออ หากเป็นนางแล้วเขาก็ไม่ต้องห่วงมาก สกุลหานมีภาระมากมาย แต่เจ้าบ้านสกุลหานก็ช่างตระหนี่ถี่เหนียวไม่ยอมจ้างคนเพิ่ม ทว่าเซี่ยฟั่งก็ยังอยากได้ผู้ช่วย เมื่อพิจารณาแล้วก็คิดว่าอาเหม่ารับหน้าที่นี้ได้
แต่จนใจด้วยนางอ่านเขียนมิได้
เซี่ยฟั่งคิดแล้วจึงกล่าวว่า “เจ้าอยากอ่านเขียนได้หรือไม่ ข้าจะสอนให้”
อาเหม่าคิดไม่ถึงว่าเซี่ยฟั่งจะสอนหนังสือให้นาง นางประหลาดใจเล็กน้อย คิดแล้วก็หยั่งเชิงถาม “ท่านเห็นว่าข้าเป็นคนเก็บปากเก็บคำ ทำงานก็ดี ท่านเองอยากหาผู้ช่วย ก็เลยมีเวลาสอนข้าอ่านเขียนหรือ”
เซี่ยฟั่งรู้สึกว่านางตรงไปตรงมากว่าเมื่อก่อนมาก จึงเลิกพูดจาอ้อมค้อม เพียงเอ่ยคำเปิดเผยซึ่งๆ หน้า ไม่ไว้หน้าแม้แต่น้อย “ใช่”
เขาไม่ปิดบังจุดประสงค์ของตนเองเลยสักนิด ทำให้อาเหม่ารู้สึกผิดหวัง แต่เมื่อคิดถี่ถ้วนแล้วเขาตรงไปตรงมาเช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ได้หลอกนาง มิได้เป็นคนหน้าซื่อใจคด
“ข้าไม่เคยจับพู่กันมาก่อนด้วยซ้ำ อาจจะร่ำเรียนได้ช้า หรืออาจถึงขั้นโง่เง่า ท่านอย่าด่าข้าก็แล้วกัน” อาเหม่ากล่าว
เซี่ยฟั่งขบขันกับวาจาของนาง “ข้าไม่ด่าเจ้าหรอก”
“อีกอย่าง หากปุบปับข้าไปซื้อพู่กันกับหมึก พวกสหายร่วมห้องคงได้ถามแน่ว่าเอาไปใช้ทำอะไร ข้าไม่อยากให้พวกนางพูดเรื่องท่านกับข้าอีก เพราะฉะนั้นหากจะสอนก็ใช้กิ่งไม้เขียนบนพื้นเถอะ ข้าจะตั้งใจจดจำ”
เซี่ยฟั่งไม่ได้ตอบทันที เขานิ่งไปเล็กน้อยก่อนกล่าวถาม “เจ้าอยากเริ่มเรียนเมื่อไหร่”
อาเหม่ามองบัญชีที่กองพะเนินดุจภูเขาบนโต๊ะก่อนตอบ “อีกเดี๋ยวข้ายังมีงานต้องทำ อีกสองสามวันแล้วกัน”
ในเมื่ออีกเดี๋ยวจะมีงาน แล้วไยจึงต้องรออีกสองสามวัน
เซี่ยฟั่งรู้ว่านางคิดว่าเขาน่าจะงานยุ่งในหลายวันนี้ เนื่องจากออกจากคฤหาสน์ไปเป็นแรมเดือน กิจธุระในคฤหาสน์ย่อมกองเป็นภูเขา ฉะนั้นระยะนี้จึงยากจะมีเวลาว่าง
ไม่ต้องพูดถึงว่าคืนนี้หานฮูหยินย่อมไม่อยากเห็นหน้าอาเหม่า ดังนั้นยามนี้อาเหม่าจึงมีเวลาว่าง
นางมักจะละเอียดรอบคอบเช่นนี้เสมอ
เซี่ยฟั่งรอให้นางจากไปแล้วจึงสะสางจัดการบัญชีด้วยตนเอง ผ่านไปครึ่งชั่วยาม อาเหม่าก็วิ่งกลับมา ยืนมองเขาที่หน้าประตูก่อนเอ่ยว่า “ฮูหยินผู้เฒ่าถูกเกลี้ยกล่อมจนยอมแล้ว”
พู่กันในมือของเซี่ยฟั่งชะงัก ก่อนที่เขาจะขานตอบด้วยรอยยิ้ม “อืม”