ฮ่องเต้มีสนมนับสิบ แต่ดูเหมือนพระองค์สมัครใจจะใช้เวลาอยู่กับฮองเฮามากกว่า ทั้งสองพระองค์มักถือม้วนหนังสือคนละม้วน อ่านไปเงียบๆ หลายชั่วยาม ฮ่องเต้ทรงเชี่ยวชาญการใช้พู่กันและหมึก บางครั้งก็จะขยับพู่กันเขียนอักษรให้ฮองเฮาวิพากษ์วิจารณ์ ฮ่องเต้และฮองเฮาในยามนี้ก็ไม่ต่างอะไรกับคู่สามีภรรยาทั่วไปที่รักใคร่กันดี ภาพเช่นนี้ฉีซู่เองก็รู้สึกคุ้นตาดี ทำให้นางนึกถึงภาพสมัยที่บิดาหานหล่างยังมีชีวิตอยู่มักจะอ่านหนังสือคัดตัวอักษรกับมารดา ขับกลอนและโต้ตอบกันด้วยบทกวี นางมักเฝ้ามองดูภาพนั้น มองจนใจลอย
ครั้งหนึ่งขณะฮ่องเต้กำลังฝึกเขียนตัวอักษรเห็นฉีซู่อยู่ข้างๆ จึงทรงกวักพระหัตถ์เรียกนาง
แต่ไรมาฮ่องเต้ทรงเคร่งขรึม ฉีซู่ค่อนข้างจะหวาดกลัว ถึงแม้ฮ่องเต้จะทรงอ่อนโยนต่อนางมาโดยตลอด นางยังคงไม่กล้าใกล้ชิดมาก จึงหลุบตาเดินเข้าไปหลายก้าว ก้มหน้ารอฟังรับสั่ง
“ได้ยินฮองเฮาบอกว่าเจ้าเคยเรียนหนังสือ”
“ท่านพ่อท่านแม่เคยสอนหม่อมฉันมาบ้างเพคะ”
ฮ่องเต้กลับนิ่งเงียบไป ผ่านไปครู่หนึ่งจึงยื่นพู่กันให้นาง “เขียนมาให้ข้าดูซิ”
ฉีซู่รับพู่กันมา หลังจากลังเลอยู่ชั่วขณะ ก็เปลี่ยนมาใช้พู่กันอีกด้ามหนึ่ง แล้วเขียนตัวอักษรลงบนกระดาษขาวหลายบรรทัด นางคัดลอกพระคัมภีร์กับฮองเฮาอยู่เสมอ ด้วยเหตุนี้จึงเลือกข้อความหลายประโยคจากคัมภีร์ศาสนาพุทธมาเขียน ก่อนใช้สองมือประคองถวายฮ่องเต้ “หม่อมฉันเขียนได้ไม่ดีนัก”
ฮ่องเต้รับมา เห็นที่นางเขียนเป็นบทสวดในคัมภีร์ศาสนาพุทธ “ไม่มีอะไรจะสูงส่งลึกล้ำไปกว่าพระธรรมคำสอน ต้องผ่านทุกข์เข็ญร้อยพันหมื่นปีจึงได้มา วันนี้ข้ามีบุญวาสนาได้ฟังพระธรรมคำสอนก็จะตั้งใจบำเพ็ญเพียร มุ่งมั่นทำความเข้าใจในพระธรรมคำสอนของพระยูไล*”
ลายมือของนางยังคงเป็นลายมือแบบเด็กๆ แต่ก็พอมีเค้าของความสวยงามวิจิตรบรรจงให้เห็น ฮ่องเต้ทรงผงกพระเศียรเล็กน้อย คิดในใจว่าหานหล่างสั่งสอนบุตรสาวผู้นี้ด้วยความตั้งอกตั้งใจยิ่ง
ฉีซู่เห็นฮ่องเต้ไม่ตรัสอะไร ก็เข้าใจว่าตัวอักษรของตนคงไม่เข้าสายพระเนตรของฮ่องเต้ อดที่จะกังวลใจมิได้ ผ่านไปครู่ใหญ่นางจึงได้ยินฮ่องเต้ตรัสออกมาสองคำ “ใช้ได้”
หลังจากฝ่าบาทเสด็จออกจากตำหนักไป ฮองเฮาทรงดึงฉีซู่มาที่ข้างกาย ตรัสว่า “เจ้าอายุเท่านี้ก็เขียนอักษรออกมาได้สวยงามเช่นนี้ นับว่าไม่ง่ายแล้ว”
“หม่อมฉันใช่ทำให้ฝ่าบาทไม่พอพระทัยหรือไม่เพคะ” ฉีซู่นึกถึงพระพักตร์ที่เคร่งขรึมของฮ่องเต้แล้วรู้สึกกังวลไม่น้อย
ฮองเฮาแย้มพระสรวลน้อยๆ “ฝ่าบาทเพียงไม่รู้จะพูดจากับเจ้าอย่างไร” เห็นฉีซู่มีท่าทีงงงวย ฮองเฮาจึงตรัสต่อ “อย่าเห็นว่าฝ่าบาทท่าทางสุขุมน่าเกรงขาม ความจริงแล้วพระองค์ไม่เชี่ยวชาญการอยู่ร่วมกับผู้อื่นมากที่สุด กับข้าราชบริพารพระองค์สามารถใช้ท่าทางเคร่งขรึมปฏิบัติต่อพวกเขา รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดราชบัลลังก์ เข้มงวดกวดขันสักหน่อยไม่เป็นไร แต่กับเจ้าซึ่งเป็นเด็กผู้หญิงที่น่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ฝ่าบาทก็ทรงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรแล้ว ข้าเห็นฝ่าบาททรงอยากจะพูดคุยกับเจ้าให้มากหน่อย แต่ไม่รู้ว่าควรพูดอะไร เจ้าก็อย่าโกรธฝ่าบาทด้วยเรื่องนี้เลย”
* คำพูดเหล่านี้บูเช็กเทียนเป็นผู้เขียนขึ้นหลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้หญิงแล้ว
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา