ซูอิ่นภรรยาของหานหล่างฟังอยู่ข้างๆ มาโดยตลอด นางได้ยินแล้วสีหน้าก็พลันเศร้าสลดลง ก่อนจะนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วเอ่ยขึ้นเบาๆ “ถ้าท่านต้องการจะกลับไปเห็นความเจริญรุ่งเรืองในเมืองหลวง ก็ไม่ใช่เรื่องยาก”
“ไปวิงวอนขอความเมตตาจากฝ่าบาท ยอมรับความผิดที่ข้าไม่เคยทำหรือ” หานหล่างยิ้มหยัน “หรือจะให้ชื่นชมการกระทำที่เลวร้ายของฝ่าบาท…”
ซูอิ่นรีบปิดปากเขาไว้ “ลูกยังเล็ก ไยต้องพูดเรื่องเหล่านี้ต่อหน้าลูกด้วย”
หานหล่างจึงปิดปากไม่พูด ตลอดคืนนั้นทั้งคืนเขาไม่ได้พูดอะไรอีกเลย ได้แต่อุ้มฉีซู่เดินไปเดินมาอยู่ในบ้าน ตอนฉีซู่สะลึมสะลือหลับไปในอ้อมแขนของเขา คลับคล้ายคลับคลาได้ยินบิดาพึมพำขึ้น “ปณิธานของลูกผู้ชายไม่อาจช่วงชิง…”
เพราะความดื้อรั้นหัวแข็งเช่นนี้ ชั่วชีวิตของหานหล่างจึงไม่อาจกลับไปซีจิงที่เขาเฝ้าคิดถึงคะนึงหา ปีที่ฉีซู่อายุได้เก้าขวบ เขาก็ถึงแก่กรรมที่เมืองเจิ้นโจว ขณะป่วยหนักใกล้จะสิ้นใจ หานหล่างฝืนยิ้มกล่าวกับภรรยา “อาอิ่น เจ้าถือกำเนิดในตระกูลสูงศักดิ์ หลายปีมานี้กลับต้องมาลำบากลำบนกับข้า…”
ซูอิ่นกุมมือเขาอย่างอ่อนโยน ยิ้มน้อยๆ ทั้งน้ำตา “ไม่ลำบาก ได้ใช้ชีวิตร่วมกับท่าน เป็นความโชคดีใหญ่หลวงของข้า”
“เสียดาย…ไม่อาจพาพวกเจ้า…กลับเมืองหลวงแล้ว…” มือของหานหล่างห้อยตก ปีนั้นเขาอายุสามสิบเจ็ด จากซีจิงมาเก้าปีเต็ม
ข่าวการตายของผู้บัญชาการทหารเมืองเจิ้นโจวไม่นานก็ส่งไปถึงเมืองหลวง และนำขึ้นกราบทูลฮ่องเต้
เนื่องจากกรณีของหานหล่างค่อนข้างพิเศษ ขณะฮ่องเต้ทรงอ่านหนังสือรายงานฉบับนี้ หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการหร่านซวิ่นที่มีรับสั่งให้เข้าเฝ้า ก็รอดูท่าทีของฮ่องเต้ด้วยความระแวดระวัง ไม่รู้ผ่านไปนานเพียงใดแล้ว หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการจึงได้ยินฝ่าบาทรับสั่งถามเสียงต่ำ “ครอบครัวของเขายังมีใคร”
“ทูลฝ่าบาท มีภรรยาหญิงสกุลซู เป็นธิดาของเว่ยกั๋วกง* ซูชั่นผู้ล่วงลับ มีพี่ชายร่วมมารดาคือซูมู่ เวลานี้ดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองนครหลวง มีบุตรสาวหนึ่งคน เพิ่งอายุเก้าขวบพ่ะย่ะค่ะ” หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการนิ่งไปครู่หนึ่ง “ซูมู่ได้แจ้งคำร้องขอของภรรยาและบุตรสาวหานหล่างให้กระหม่อมทราบ ทั้งสองหวังว่าจะสามารถนำร่างของหานหล่างกลับมาฝังที่เมืองหลวงพ่ะย่ะค่ะ”
ฮ่องเต้ผงกพระเศียร แต่ไม่ได้ตรัสอะไร หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการคาดเดาว่าคงจะทรงอนุญาต จึงไม่พูดอะไรอีก
ในความเป็นจริงฮ่องเต้หาได้สงบเยือกเย็นเช่นที่เห็นภายนอกไม่ เมื่อเสด็จกลับถึงตำหนักใน คำพูดประโยคแรกที่ตรัสกับฮองเฮาคือ “หานหล่างตายแล้ว!”
ฮองเฮาแม้จะไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องบ้านเมือง แต่กับชื่อหานหล่างผู้นี้กลับไม่แปลกหู “หานหล่าง ผู้บัญชาการทหารเมืองเจิ้นโจวหรือเพคะ”
ฮ่องเต้ไม่ทรงตอบคำถามของฮองเฮา แต่ตรัสต่อไป “รัชศกเจาอู่ปีที่สิบเจ็ด อดีตฮ่องเต้ทรงกรีธาทัพไปตะวันตก เราในฐานะรัชทายาทวังตะวันออกได้รับพระบัญชาให้ดูแลบ้านเมือง เพื่อจะคัดเลือกบุคคลที่มีสติปัญญาความสามารถ เราได้เปิดสอบขุนนาง* ขึ้น และตั้งคำถามผู้เข้าสอบด้วยตนเอง ผู้สอบได้อันดับหนึ่งคือหานหล่าง”
* กั๋วกง เป็นบรรดาศักดิ์ในสมัยโบราณของขุนนางจีน แต่งตั้งให้เชื้อพระวงศ์หรือผู้มีคุณงามความชอบ โดยบรรดาศักดิ์ห้าขั้นรองจากชั้นอ๋องคือ กง โหว ป๋อ จื่อ หนาน แต่ละสมัยจะมีคำเรียกและลำดับแยกย่อยต่างกัน กั๋วกงถือเป็นขั้นสูงสุดในลำดับกง
* การสอบขุนนางในสมัยโบราณ (เคอจวี่) แบ่งเป็นฝ่ายบุ๋นและฝ่ายบู๊ โดยสอบเลื่อนทีละระดับขั้น เริ่มจากระดับอำเภอหรือจังหวัดเรียกว่าการสอบถงซื่อ ผู้สอบผ่านได้เป็นซิ่วไฉ มีสิทธิ์เข้าร่วมสอบระดับมณฑลเรียกว่าเซียงซื่อ สอบผ่านได้เป็นจวี่เหริน ต้องเข้ามาสอบระดับฮุ่ยซื่อที่เมืองหลวงเพื่อเป็นจิ้นซื่อจึงได้บรรจุเข้ารับราชการ เมื่อผ่านการสอบทั้งสามระดับจะได้เข้าสอบหน้าพระที่นั่งคือการสอบเตี้ยนซื่อเพื่อคัดเป็นบัณฑิตเอกสามขั้น ซึ่งบัณฑิตเอกขั้นหนึ่งมีสามคนเรียงตามคะแนน เรียกว่าจ้วงหยวน (จอหงวน) ปั๋งเหยี่ยน และทั่นฮวา
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา