ฉีซู่มาคิดดูก็ใช่ หลี่เฉิงเพ่ยเป็นพระโอรสองค์เดียวที่ประสูติจากฮองเฮา ไม่มีใครสามารถแทนที่เขาได้จริง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดนางกลับรู้สึกไม่ค่อยสบายใจ คำพูดของหลี่เฉิงเพ่ยคล้ายคำทำนาย ทำให้นางรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมา ในอนาคตข้างหน้าอีกไม่ไกลอาจมีเรื่องอะไรบางอย่างเกิดขึ้น และอาจคุกคามถึงฐานะของหลี่เฉิงเพ่ยด้วย
ฤดูใบไม้ร่วงรัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบสาม มีข่าวชัยชนะจากเป่ยฝู่ ชิวลี่สิง ผู้บัญชาการทหารเมืองติ้งเซียง* ตีชนเผ่าตี๋เหนือแตกยับเยินกุดหัวทหารฝ่ายข้าศึกไปกว่าห้าพันคน
ฮ่องเต้ได้รับสารแจ้งข่าวก็ทรงปลาบปลื้มยินดี มีราชโองการแต่งตั้งชิวลี่สิงเป็นเจิ้งกั๋วกง เทียบเท่าขุนนางขั้นสามในสังกัดสำนักราชเลขาธิการและสำนักตรวจสอบ
ปลายเดือนเก้า ชิวลี่สิงกรีธาทัพกลับเมืองหลวง ฮ่องเต้ทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับเขาด้วยองค์เอง
ชิวลี่สิงปีนี้อายุสามสิบห้า แรกเข้าเป็นขุนนางโดยอาศัยความดีความชอบของบรรพบุรุษ จากนั้นก็ผ่านการเลื่อนขั้นเลื่อนตำแหน่งหลายครั้งจนเป็นหัวหน้าสำนักตรวจการ รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่แปด ชนเผ่าตี๋เหนือรุกรานเข้ามา ชิวลี่สิงอาสาเข้าร่วมทัพ ขุนนางฝ่ายพลเรือนคนหนึ่งถึงกับสมัครเป็นทหารด้วยความฮึกเหิมห้าวหาญ พริบตาเดียวก็เล่าลือกันไปอย่างกว้างขวางทั้งในหมู่ขุนนางและราษฎร ฮ่องเต้ทรงรู้สึกถึงความกล้าหาญชาญชัยของเขา จึงอนุญาตให้เขาไปเป็นขุนพลในกองทัพ ชิวลี่สิงกลับปฏิเสธความหวังดีของฮ่องเต้ ยืนกรานไปเป็นทหารโดยไม่มียศตำแหน่ง
แม้เขาจะมาจากขุนนางฝ่ายพลเรือน แต่ยามออกรบกลับห้าวหาญเปี่ยมด้วยพลังวังชา ไม่มีท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อย ในเวลาไม่กี่ปีก็ได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนพลเชอจี้* ปีที่แล้วเผยหย่วนเต้าผู้บัญชาการทหารเมืองติ้งเซียงคนก่อนล้มป่วยถึงแก่กรรม แนวหน้าตึงเครียดขึ้นมาทันที ฮ่องเต้จึงเลื่อนขั้นเป็นกรณีพิเศษให้ชิวลี่สิงขึ้นรับตำแหน่งผู้บัญชาการ ชิวลี่สิงก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง รับตำแหน่งไม่ถึงหนึ่งปีข่าวชัยชนะก็ทยอยส่งเข้ามาไม่ขาดสาย ชัยชนะใหญ่ครั้งนี้ยิ่งเป็นผลงานการทำศึกที่ยอดเยี่ยมที่สุดตั้งแต่ฮ่องเต้ทรงขึ้นครองราชสมบัติมา
ในงานเลี้ยงต้อนรับ ฮ่องเต้ทรงยกย่องชมเชยชิวลี่สิงอย่างมาก “ท่านเชี่ยวชาญทั้งบู๊บุ๋น สมแล้วที่เป็นกำแพงเมืองของราชวงศ์หลี่เรา”
ชิวลี่สิงลุกขึ้นกราบทูล “กระหม่อมความสามารถธรรมดาสามัญ รู้เพียงต้องจงรักภักดีต่อบ้านเมืองเท่านั้น การศึกครั้งนี้โชคดีได้รับชัยชนะ ฝ่าบาททรงสรรเสริญเช่นนี้ กระหม่อมละอายใจยิ่งนัก”
“ท่านไม่จำเป็นต้องถ่อมตนเกินไป” ฮ่องเต้ตรัส “นับแต่ราชวงศ์ก่อนแตกแยกล่มสลาย ดินแดนที่ราบตอนกลางถูกแบ่งแยกยึดครอง ความวุ่นวายจากสงครามเกิดขึ้นเนืองๆ ปฐมกษัตริย์แม้จะสามารถรวมแผ่นดินเป็นปึกแผ่น แต่กลับทำอะไรชนเผ่าหรงและชนเผ่าตี๋ไม่ได้ มหาอำนาจที่มีอานุภาพอันเกรียงไกรกลับต้องมาอยู่ใต้อาณัติของชนชาติป่าเถื่อนเช่นชนเผ่าตี๋ นับเป็นความอัปยศอดสูของบ้านเมือง ตอนอดีตฮ่องเต้ยังครองราชย์ทรงครุ่นคิดหาทางกำจัดภัยพิบัติจากชนเผ่าตี๋อยู่เสมอ แต่ก็จนใจเพราะทางหรงตะวันตกยังไม่สงบ มาบัดนี้ท่านมาเป็นมือซ้ายขวาให้กับเรา สกัดและทำลายกำลังอันฮึกเหิมของชนเผ่าตี๋ลงอย่างห้าวหาญ จะไม่ให้ราชสำนักและราษฎรดีใจได้อย่างไร”
ชิวลี่สิงได้ยินดังนั้นก็กล่าวตอบ “ฝ่าบาททรงทุ่มกำลังสร้างสรรค์ความเจริญรุ่งเรืองให้กับบ้านเมือง บัดนี้ท้องพระคลังอุดมสมบูรณ์ กองกำลังเข้มแข็งห้าวหาญ เป็นช่วงที่เหมาะสมแก่การปราบปรามชนเผ่าตี๋ให้สงบราบคาบยิ่ง กระหม่อมยินดีจะทุ่มเทกำลังสุดความสามารถ อุทิศตนรับใช้ฝ่าบาท!”
* ปัจจุบันคืออำเภอติ้งเซียง มณฑลซานซี
* ขุนพลเชอจี้ (ขุนพลอาชาและรถศึก) เป็นตำแหน่งนายทหารชั้นสูง เป็นรองเพียงแม่ทัพใหญ่กับขุนพลเพี่ยวฉี (ขุนพลอาชาเหิน) เท่านั้น
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา