จิ้นอ๋องเก็บรอยยิ้ม ก่อนพูดขึ้นช้าๆ “ข้าไม่กล้าคาดเดาความคิดของฝ่าบาท เพียงแต่ถ้าข้าเป็นแม่ทัพใหญ่ ย่อมไม่ทำอะไรบุ่มบ่ามในเวลานี้เด็ดขาด”
ซูเหรินมีประกายวาบขึ้นในดวงตา “ได้โปรดอธิบายให้ละเอียดกว่านี้”
จิ้นอ๋องหัวเราะ “สองท่านไม่เคยไปด่านชายแดนทางเหนือ คงจะไม่รู้ ที่นั่นไม่มีเรือกสวนไร่นา มีแต่ทุ่งหญ้า ผืนดินไม่เหมาะแก่การทำไร่ทำนา คนจงหยวนมีหรือจะยินดีตั้งรกรากอยู่ที่นี่ ดังนั้นแต่ละยุคในอดีตแม้กองทัพจากจงหยวนจะโจมตีเข้าไปในดินแดนได้ แต่กลับไม่อาจครอบครองไว้ได้ ส่วนชาวตี๋มุ่งแสวงหาที่มีน้ำมีหญ้าและตั้งถิ่นฐาน ไม่เหมือนกับชาวจงหยวนที่ยึดติดอยู่กับความเคยชิน จงหยวนก็ไม่อาจกำจัดพวกเขาให้สูญสิ้นได้ ดังนั้นกระทั่งทุกวันนี้บ้านเมืองเราจึงยังคงมีภัยจากชายแดน ข้าเห็นว่าภัยจากชนเผ่าตี๋ ไม่ใช่ยากที่ความสามารถในการสู้รบทำศึก หากแต่ยากตรงขุดรากถอนโคนขจัดให้สูญสิ้น แทนที่จะเอาแต่ยกทัพทุ่มเทกำลังโภคทรัพย์ไปโดยเปล่าประโยชน์ ไม่สู้ใช้ทั้งพระเดชพระคุณ ใช้กำลังทหารสร้างอำนาจบารมี จากนั้นก็ใช้บุญคุณปลอบบำรุงขวัญผู้คน กล่อมเกลาให้ชาวหรงและชาวอี๋ตะวันออก* มาเข้ากับชาวหวาซย่า** เรา ปีที่แล้วเราได้รับชัยชนะอย่างงดงาม สร้างชื่อเสียงและบารมีให้กับจงหยวน เวลานี้ควรชะลอการรุกโจมตีชั่วคราว รอจังหวะเคลื่อนไหว ค่อยๆ วางแผน…ทว่านี่เป็นเพียงข้อคิดเห็นตื้นเขินของข้าเท่านั้น ฝ่าบาทอาจพิจารณาใคร่ครวญได้ลึกซึ้งกว่านี้ก็ไม่รู้ได้”
“ท่านอ๋องพูดมีเหตุผล แต่รอจังหวะเคลื่อนไหว เรื่องนี้จะอธิบายอย่างไร” ซูเหรินซักไซ้
จิ้นอ๋องถือจอกสุรายิ้มบางๆ “ชาวตี๋ไม่ได้ปกครองแบบแบ่งเป็นเมืองเป็นอำเภอ เรียงลำดับน้อยใหญ่เช่นจงหยวน พวกเขาเป็นเพียงฝูงกาที่มารวมกลุ่มกัน ปกติต่างคนต่างเสาะหาทุ่งหญ้า ยามมีศึกจึงมาร่วมกันทำศึก ชนเผ่าตี๋แต่ละส่วนไม่ได้ติดต่อสัมพันธ์กันลึกซึ้งเท่าใด บางครั้งยังแย่งชิงทุ่งหญ้าลงไม้ลงมือต่อสู้กันเองด้วยซ้ำ ความสัมพันธ์แบบฝูงกา แม้ช่วงแรกจะปีติยินดี แต่ช่วงหลังมักขัดแย้งกัน รอจังหวะเคลื่อนไหวที่ข้าพูดถึง ก็อยู่ที่ตรงนี้ แทนที่จะยกทัพใหญ่เข้าโจมตี ไม่สู้ใช้ความขัดแย้งภายในของชาวตี๋ นั่งรอรับผลประโยชน์แบบผู้เฒ่าหาปลา***”
ซูเหรินและซูอี๋ต่างไม่ได้พูดอะไรอีก เพียงแต่นั่งขบคิดคำพูดของจิ้นอ๋องเงียบๆ
ด้านฉีซู่ฟังแล้วก็หลุบนัยน์ตาลง มองจอกสุราตรงหน้าอย่างใจลอย ส่วนญาติผู้น้องที่เป็นหญิงสามคนต่างไม่มีความรู้เรื่องรบราทำศึก ได้แต่นั่งเงียบเหงาหมดสนุก
จิ้นอ๋องเห็นทุกคนนิ่งเงียบก็ไม่ได้พูดต่อ เพียงตบมือเรียกคนรับใช้มากระซิบสั่งการสองสามคำ ไม่นานคนรับใช้ก็พานักดนตรีอุ้มพิณผีผาคนหนึ่งเดินเข้ามา นักดนตรีนั่งลงตรงมุมห้องโถง หยิบผีผาออกมาบรรเลงเพลง
นอกประตูที่เปิดอยู่ จันทร์เต็มดวงสุกสกาวลอยอยู่บนท้องฟ้าเย็นยะเยียบ นอกหน้าต่างเสียงร้องรำทำเพลงสนุกสนานดังมาแต่ไกลๆ ท่ามกลางเสียงพิณผีผาแลคล้ายดั่งความฝัน
“แม่นางน้อยคิดอะไรอยู่หรือ” จิ้นอ๋องถึงกับมาอยู่ข้างกายฉีซู่ ตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ได้
“ข้า…หม่อมฉันกำลังนึกถึงงานเลี้ยงในวังคืนนี้ ไม่ทราบว่าเป็นอย่างไรบ้าง” ฉีซู่ตกใจเล็กน้อย รีบลนลานปิดบังเรื่องในใจตน
“ก็แค่ปัญญาชนกลุ่มหนึ่งมาประจบสอพลอสรรเสริญฝ่าบาท ไม่มีอะไรแปลกใหม่”
* อี๋ตะวันออก คือชนเผ่าที่อยู่ทางตะวันออกของจีน
** หวาซย่าเป็นคำเรียกประเทศจีนในสมัยโบราณ
*** มาจากสำนวน ‘หอยกาบกับนกปากซ่อมยื้อแย่งกัน ผู้เฒ่าหาปลาได้ประโยชน์’ เป็นคำเปรียบเปรยหมายถึงได้รับผลประโยชน์โดยไม่ต้องลงแรง มีเรื่องเล่าว่าหอยกาบอ้าเปลือกออกผึ่งแดด นกปากซ่อมเข้ามาหวังจิกกินเป็นอาหาร หอยจึงงับเปลือกเข้ามาหนีบปากนกเอาไว้ ทั้งสองต่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กัน ชาวประมงผ่านมาเห็นจึงจับไปเป็นอาหารทั้งคู่ คล้ายนิทานเรื่องตาอินกับตานาของไทย