ฉีซู่งงงัน ไม่ได้พูดอะไรออกมาทันที
“อย่าว่าแต่ฝ่าบาทไม่มีทางมีราชโองการเรียกท่านอ๋องกลับเมืองหลวง” จางฉี่ไท่กล่าวต่อ “ต่อให้มีราชโองการจริง ทางที่ดีก็ควรหาข้ออ้างบอกปัด”
ฉีซู่พยักหน้า “ขอบคุณผู้ตรวจการที่ช่วยชี้แนะตักเตือน”
จางฉี่ไท่รีบบอก “มิกล้า” จากนั้นก็ขึ้นม้าควบจากไป
ตกค่ำในจวนก็เงียบสงัด มีเพียงเสียงนกเสียงจักจั่น ลานบ้านมีแต่ความมืดมิด บางครั้งบางคราวจึงจะมีแสงไฟวาบผ่านแล้วก็เลือนหาย
หลี่เฉิงเพ่ยนั่งอยู่ที่พื้นระเบียง เหม่อมองลานบ้านที่มืดมิดอย่างเบื่อหน่าย
ฉีซู่เดินมาข้างกายเขาแล้วนั่งลง ถามขึ้นเบาๆ “ยังเป็นห่วงอาการประชวรของฝ่าบาทอยู่หรือ”
“เมื่อครั้งเสด็จปู่สิ้นพระชนม์ ข้าไม่อาจกลับเมืองหลวงไปส่ง มาวันนี้พระบิดาประชวรแล้ว ข้ายังคงไม่อาจพบหน้า…” หลี่เฉิงเพ่ยถอนหายใจ “ซู่ซู่ ข้าอกตัญญูมากใช่หรือไม่”
ไท่ซั่งหวงสิ้นพระชนม์เมื่อสามปีก่อน พระนามในศาลบรรพชนคืออู่จง ตอนไท่ซั่งหวงสิ้นพระชนม์ หลี่เฉิงเพ่ยเคยทูลขอกลับเมืองหลวงร่วมพระราชพิธีศพ แต่ก็ไม่ได้รับอนุญาตจากฝ่าบาท
ฉีซู่กอดสามีราวกับกำลังกอดเด็กเล็กๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “นี่ไม่ใช่ความผิดของท่านอ๋อง”
“ห้าปีแล้ว ซู่ซู่” หลี่เฉิงเพ่ยเงยหน้าขึ้นมาจากอ้อมกอดของฉีซู่ “เจ้าคิดถึงซีจิงหรือไม่”
ฉีซู่สั่นศีรษะก่อน จากนั้นก็ผงกศีรษะ สุดท้ายก็บอกด้วยความฉงน “ไม่รู้”
หลี่เฉิงเพ่ยหัวเราะแล้วว่า “ข้าก็เช่นกัน” นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วพูดต่อ “ข้าไม่คิดถึงเมืองแห่งนั้น แต่ข้าคิดถึงคนที่อยู่ที่นั่น คิดถึงอาเวิง คิดถึงพระบิดาพระมารดา ซู่ซู่ เจ้าคิดถึงพวกเขาหรือไม่”
ฉีซู่นึกถึงช่วงเวลาที่อยู่ข้างพระวรกายฮองเฮา กลิ่นหอมที่อบอวลอยู่ในตำหนัก ฮองเฮาทรงกุมมือนางด้วยความเมตตาอ่อนโยนและเยือกเย็น สอนให้นางรู้หนังสือ สอนนางอ่านบทกวี ฉีซู่พลันปวดแปลบในใจ ฮองเฮาทรงรักใคร่โอรสธิดาเพียงนั้น ห้าปีมานี้ไม่รู้ทรงใช้ชีวิตท่ามกลางความคิดถึงมาได้อย่างไร ยังมีซูอิ่น มารดาผู้ให้กำเนิดนาง หลายปีมานี้นางไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับมารดาอีกเลย มารดาอาศัยอยู่บ้านท่านลุงมาโดยตลอด คงจะโดดเดี่ยวมากกระมัง…
“ซู่ซู่ เหตุใดเจ้าจึงร้องไห้แล้วเล่า” หลี่เฉิงเพ่ยยื่นนิ้วมาแตะใบหน้านาง ปาดน้ำตาไม่กี่หยดนั่นออกไป
ฉีซู่พบว่าบนใบหน้าของตนไม่รู้มีน้ำตาไหลรินลงมาตั้งแต่เมื่อไร นางรีบเช็ดออก แล้วพูดกลบเกลื่อนขึ้น “ไม่มีอะไร เมื่อครู่มีผงเข้าตา”
แม้จะไม่มีช่วงใดเวลาใดที่ไม่ทรงคิดถึงและเป็นห่วง ทว่าฮองเฮาก็ส่งคนมาหย่งโจวเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบน้อยมาก ฉีซู่สังเกตและรับรู้ได้ถึงเจตนาของฮองเฮา เวลานี้ขณะนี้ยิ่งมีคนสนใจหย่งโจวน้อยเท่าไร พวกนางก็ยิ่งมีโอกาสที่จะปลอดภัยสูง นางสงบใจลง ไม่อาจไปกระตุ้นความคิดถึงที่สามีมีต่อซีจิงอีก
นับแต่วันนั้นมานางก็ปิดปากเงียบไม่เอ่ยถึงเรื่องในเมืองหลวงอีกเลย แต่ทุกวันมีเรื่องที่ต้องทำเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งเรื่อง นั่นคือแอบภาวนาต่อหน้าพระพุทธรูปขอให้ฮ่องเต้พระวรกายแข็งแรง
นางพำนักอยู่หย่งโจวมานาน นานจนความทรงจำสมัยอยู่ในวังหลวงที่ซีจิงออกจะเลือนรางแล้ว คำตักเตือนในวันนั้นของจางฉี่ไท่คล้ายเสียงตวาดที่ฟาดลงมา ทำให้นางได้สติกลับคืนมาอีกครา
หลี่เฉิงเพ่ยเป็นผิงเอินอ๋อง และเป็นรัชทายาทที่ถูกถอดถอน หากฮ่องเต้เสด็จสวรรคต ฮ่องเต้องค์ใหม่จะปฏิบัติต่อหลี่เฉิงเพ่ยผู้เคยเป็นรัชทายาทอย่างไรก็ยังไม่รู้ แม้รัชทายาทองค์ปัจจุบันจะมีความประพฤติและคุณธรรมเหนือผู้อื่นและได้รับการยกย่องจากผู้คน แต่ฉีซู่ก็รู้สึกเสมอว่ามองเขาไม่ออก ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาปรากฏตัวต่อหน้านาง ฉีซู่ก็รู้สึกว่าจิตใจของคนผู้นี้ถูกห่อหุ้มอยู่เป็นชั้นๆ ใครก็ไม่อาจสัมผัสถึง