ข้าผู้นี้··· วาสนาดีเกินใคร
ทดลองอ่าน ข้าผู้นี้… วาสนาดีเกินใคร บทที่ 2
รุ่งเช้าวันต่อมาเจินจยาฝูลุกขึ้นจากเตียงแต่เช้า เพิ่งจะเกล้าผมเปลี่ยนเป็นชุดออกเดินทางเสร็จก็ได้ยินเสียงฝีเท้าดังมาจากในลาน ประตูถูกคนผลักเปิดออกเสียงดังเอี๊ยด เมื่อหันหน้าไปมองก็เห็นพี่ชายก้าวเท้าเข้ามา บนร่างเขายังคงเป็นชุดเดียวกับเมื่อวาน รู้ได้ว่าเขาไม่ได้กลับมาเลยตลอดทั้งคืน ตอนที่นางเดินเข้าไปต้อนรับและคิดถามว่าเขาไปที่ใดมา กลับเห็นเขาหยิบกล่องใบหนึ่งมาจากด้านหลัง สองมือประคองมาตรงหน้านางดุจถวายของล้ำค่าพร้อมเอ่ยอย่างกระตือรือร้น “น้องสาว รีบเดาเร็ว ภายในกล่องนี้คืออะไร”
ตัวกล่องทำมาจากไม้กฤษณา ด้านบนประดับพวกเปลือกหอยและอัญมณีต่างๆ เอาไว้ หรูหราอย่างยิ่ง เพียงแค่กล่องใบนี้ก็ราคาไม่ธรรมดาแล้ว
เจินจยาฝูมองดูคราหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ว “พี่ชาย เมื่อวานพี่ไปที่ใดมา เหตุใดถึงไม่บอกกันก่อน ท่านแม่เป็นกังวลมากนัก”
เจินเย่าถิงโบกไม้โบกมือ “ข้าไม่ได้กลับมาแล้วหรอกหรือ ประเดี๋ยวค่อยเล่าให้เจ้าฟัง เจ้ารีบเดาก่อนเร็วเข้า!”
เจินจยาฝูไม่ยอมเดา หันหลังกลับไม่สนใจเจินเย่าถิงอีก
เขาร้อนใจในทันที เปิดกล่องออกเองพร้อมตะโกน “มุกเงือกม่วง! นี่เป็นถึงสร้อยมุกเงือกม่วงเชียวนะ ของล้ำค่านี่ข้าต้องไล่ตามมาตลอดทั้งคืนจึงซื้อกลับมาได้ ตั้งใจเอามามอบให้เจ้า”
เจินจยาฝูหันหน้ากลับมา มองไปยังสร้อยคอในกล่องเส้นนั้นอย่างประหลาดใจ “พี่ซื้อมาจากที่ใดกัน”
เจินเย่าถิงได้ใจยิ่ง เอ่ยเล่าความเป็นมารอบหนึ่ง
ที่แท้เมื่อวานตอนที่เขาติดตามทำธุระอยู่กับจางต้า พลันได้ยินคนสนทนากันว่ามีพ่อค้าต่างแคว้นผู้หนึ่งมาจากปอซือในมือมีสร้อยคอที่เล่าลือกันว่าร้อยด้วยมุกเงือกม่วง ได้ยินมาว่าเฉวียนโจวเป็นสถานที่ที่ผู้คนร่ำรวย เดิมทีตั้งใจมาขายด้วยราคาสูงลิ่ว ทว่าหาลูกค้าที่ซื้อไหวไม่พบเสียที วันนี้ก็ต้องออกเดินทางกลับแล้ว
พรุ่งนี้น้องสาวต้องเดินทางขึ้นเหนือเพื่อไปแต่งงานแล้ว ช่วงไม่กี่วันที่กลับมาจากวัดซีซานกลับถูกของไม่ดีเข้าให้ ดูไม่เป็นมงคลอยู่บ้าง แม้เจินเย่าถิงจะชอบทำตัวเหลวไหล แต่ก็รักถนอมน้องสาวผู้นี้มาก ทั้งนึกถึงคำพูดที่เมื่อวานตนเองถูกมารดาสั่งสอน บอกว่าน้องสาวแต่งเข้าสกุลเผยแม้จะดูมีหน้ามีตา แต่วันหน้าจะต้องได้รับความลำบากต่างๆ นานาไม่น้อยแน่ อยากให้เขาตั้งใจเล่าเรียน จะได้เป็นที่พึ่งให้น้องสาวได้ ยามนั้นเขาผงกศีรษะรับปากอย่างเชื่อฟัง แต่ความจริงแค่หันตัวกลับก็ลืมแล้ว ยามได้ยินคำว่ามุกเงือกม่วง คนเหล่านั้นยังคอยวิพากษ์วิจารณ์ถึงความหายากของสมบัติชิ้นนี้ไม่หยุด ในใจก็เกิดความคิดที่จะซื้อมามอบให้นางทันที หลังถามถึงที่อยู่ของชาวปอซือผู้นั้นแล้วรู้ว่าเขาพักอยู่ที่ย่านชาวต่างแคว้น สถานที่ที่คนจากต่างแคว้นจะไปรวมตัวกัน ยามนั้นก็รีบไล่ตามไปทันที เมื่อมาถึงกลับไม่พบตัว หลังสืบข่าวถึงได้รู้ว่าชาวปอซือผู้นั้นเห็นว่าไม่มีคนซื้อ ด้วยความผิดหวังจึงออกเดินทางจากไปตั้งแต่เมื่อเช้าแล้ว
เจินเย่าถิงมีใจอยากซื้อสร้อยคอให้ได้ จึงถามถึงทิศทางที่ชาวปอซือเดินทางแล้วไล่ตามไป เมื่อวานเย็นเขาถึงได้ไล่ตามจนพบที่จุดพักเปลี่ยนม้า ตอนแรกชาวปอซือผู้นั้นไม่ยอมขาย แต่ยิ่งเขาไม่ยอมขาย เจินเย่าถิงก็ยิ่งอยากจะซื้อ เสนอราคาสูง ถกเถียงกันอยู่นาน จวบจนตอนท้ายในที่สุดก็บีบคั้นให้ชาวปอซือผู้นั้นยอมปล่อยมือจากของได้ เขานำของล้ำค่านี้เร่งรีบเดินทางกลับมาทั้งคืน วันนี้ตอนเช้าเพิ่งกลับมาถึงบ้าน เขาก็ไม่มีเวลาไปสนใจความเหน็ดเหนื่อยจากการเดินทาง รีบวิ่งมามอบของล้ำค่านี้ให้น้องสาวก่อน
เจินจยาฝูตกใจไม่น้อย นึกไม่ถึงว่าเมื่อคืนพี่ชายจะไม่กลับมาทั้งคืนด้วยเหตุนี้ หลังมองดูสร้อยคอคราหนึ่ง เห็นเป็นสร้อยที่ร้อยมาจากไข่มุกสีม่วง ไข่มุกแต่ละเม็ดมีขนาดเท่าปลายเล็บนิ้วก้อย ทั้งยังกลมกลึงอย่างหาได้ยาก เกลี้ยงเกลาไร้ตำหนิ ย่อมเป็นของดี แต่กลับไม่ใช่มุกเงือกม่วง
ในอดีตตอนอยู่วังหลวง นางเคยเห็นมุกเงือกม่วงที่ราชทูตต่างแคว้นนำมาถวายให้จางฮองเฮา
แม้ชื่อมุกเงือกม่วงจะมีคำว่าสีม่วง ทว่าความจริงแล้วกลับไม่ได้มีสีม่วง แต่เป็นสีชมพูอมแดง เพียงแค่เวลานำไปส่องกับแสงอาทิตย์จะเปลี่ยนเป็นสีม่วงเข้ม ด้วยเหตุนี้จึงได้รับชื่อนี้มา ด้วยความหายากต่อให้มีเงินก็ยากจะได้มา หลังฮองเฮาได้มาแล้ว ตอนนั้นยังตั้งใจเรียกเจินจยาฝูไปชื่นชมยังตำหนักของพระนาง บอกว่าหากนางชอบก็จะประทานต่อให้
เจินจยาฝูจะกล้ารับมาได้อย่างไร ยามนั้นจึงโขกศีรษะปฏิเสธอย่างสุภาพ หลังกลับมายังคิดถึงบิดาตนเองจนเศร้าใจไปหลายวัน ด้วยเหตุนี้จึงจดจำได้อย่างแม่นยำ
“ข้าจะสวมให้เจ้านะ น้องสาว เมื่อเจ้ามีมุกเงือกม่วงแล้ว วันหน้าจะต้องชีวิตราบรื่น มั่งคั่งสงบสุขอย่างแน่นอน!”
เจินเย่าถิงหยิบมุกเงือกม่วงออกมาพลางเอ่ยด้วยความดีใจ
เจินจยาฝูรู้แก่ใจว่าพี่ชายตกหลุมพรางของชาวปอซือผู้นั้นเข้าแล้ว เมื่อเห็นสีหน้าอ่อนล้าของเขา ทว่าดวงตากลับสว่างสดใส นางก็รู้สึกซาบซึ้งใจ เดิมทีตัดใจทำลายความสุขของเขาไม่ลง แต่เมื่อนึกถึงว่าเขาเป็นผู้สืบทอดกิจการสกุลเจิน ถ้าเกิดเอาแต่หลงเชื่อผู้อื่นง่ายๆ ทำตัวเลอะเลือนเช่นนี้ วันหน้าเกรงว่าจะต้องเสียเปรียบอีก หลังลังเลอยู่เล็กน้อยจึงเอ่ยว่า “พี่ชาย พี่ถูกหลอกแล้ว นี่ไม่ใช่มุกเงือกม่วง ข้าเคยได้ยินคนบอกว่าที่ได้ชื่อมุกเงือกม่วงนี้มาเป็นเพราะมันจะเปลี่ยนเป็นสีม่วงภายใต้แสงอาทิตย์ แต่ตัวมันไม่ได้มีสีม่วงจริงๆ”
เจินเย่าถิงนิ่งอึ้ง จ้องไปยังสร้อยคอจนดวงตาแทบถลน สีหน้าเปลี่ยนไปครั้งใหญ่ พร้อมตวาดอย่างโมโห “ดียิ่ง เจ้าลูกเต่านั่นกล้าหลอกลวงข้า! ข้าจะสั่งให้คนไล่ตามไปทันที หากจับตัวได้ล่ะก็ จะต้องหักกระดูกมันให้ได้!” เขารีบร้อนออกไปสั่งการผู้ใต้บังคับบัญชา หลังกลับมาก็จ้องเขม็งไปที่สร้อยคอ ยิ่งมองยิ่งโมโห พลันคว้ามันเขวี้ยงลงพื้นแล้วยกเท้าขึ้นเตรียมขยี้ซ้ำ
เจินจยาฝูรีบห้ามเอาไว้ นางเก็บสร้อยคอขึ้นมาแล้วเอ่ย “พี่ชาย ดูท่าคนผู้นั้นคงจะรู้จักชื่อเสียงของท่าน ไข่มุกนี้มีราคาแพง เขาขายไม่ออก ดังนั้นถึงได้จงใจล่อลวงพี่ไปซื้อ คนผู้นี้คงตามหาตัวไม่เจอแล้วเป็นแน่ แต่ในสายตาข้า นี่นับเป็นน้ำใจจากพี่ แม้มิใช่มุกเงือกม่วง แต่ก็ถือว่ามีค่าเช่นกัน ข้าจะเก็บรักษาไว้อย่างดี เพียงแต่พี่ชาย วันหน้าก่อนที่พี่จะทำอะไร จำไว้ว่าต้องใคร่ครวญให้มาก หรือไม่ก็ปรึกษาบรรดาพ่อบ้านเสียก่อน อย่าได้เชื่อถือผู้อื่นโดยง่ายเช่นนี้อีก ป้องกันไม่ให้ถูกหลอกลวงอีกครั้ง”
เดิมทีเจินเย่าถิงรู้สึกโมโหอยู่เต็มท้อง แทบอยากเหยียบของสิ่งนี้ให้แตกละเอียดจึงจะคลายโทสะได้ เมื่อได้ยินเจินจยาฝูว่าเช่นนี้ เพลิงโทสะก็ค่อยๆ สลายหายไป เขาเกาหัวพลางหัวเราะแหะๆ ตอบรับ “ข้ารู้แล้ว คำสั่งสอนของท่านย่ากับท่านแม่ข้าล้วนจดจำขึ้นใจ หนนี้แค่รีบร้อนไปหน่อย เกรงว่าจะไม่ทันเจ้าออกเดินทางไปแต่งงานถึงได้ประมาทถูกคนหลอกเข้าให้ วันหน้าข้าจะคอยระวังตัวให้มากแน่นอน”
เจินจยาฝูสวมสร้อยคอ เดินมาส่องดูหน้าคันฉ่อง ก่อนหันหน้ากลับไปยิ้มเอ่ย “ขอบคุณพี่ชายแล้ว ข้าชอบมากเจ้าค่ะ”