ฝูอวิ๋นวางท่าเป็นนักเลงผิดจากที่ผ่านมา มาดอันใหญ่โตนั้นเรียกได้ว่าใช้อำนาจบาตรใหญ่ไปกดขี่คุกคาม
ซูเพียนจื่อเผชิญหน้าอยู่กับสัตว์ประหลาดน่าสะพรึงโขยงใหญ่ที่มีเขี้ยวเล็บคมกริบและจ้องจับคนกินอยู่ทุกเวลาเช่นนี้ หากบอกว่าไม่กลัวก็คือคำโกหก ทว่าน่าแปลกที่เมื่อกลัวจนถึงขีดสุดแล้ว นางกลับกลายเป็นเยือกเย็นผิดธรรมดา สีหน้าก็ยิ่งสงบเคร่งขรึม ท่าทีเฉยเมยสุดจะจับทางได้นั้นเกินวัยของสาวน้อยโดยสิ้นเชิง
เห็นได้ชัดว่าท่าทีอันลุ่มลึกสุดหยั่งนี้สามารถเขย่าขวัญสัตว์อสูรที่มีสติปัญญาค่อนข้างสูงเหล่านั้นได้ เพราะจากที่พวกมันเคยรับรู้มา การโจมตีของผู้ฝึกวิชาที่มีผมยาวประบ่าก็เพียงพอจะทำให้พวกมันต้องหนีกันหัวซุกหัวซุนแล้ว นับประสาอะไรกับยอดฝีมือที่มีผมยาวจรดเอวเล่า!
น่ากลัวว่าดัชนีเดียวก็สามารถบี้พวกมันให้ตายได้แล้วกระมัง
แม้กระทั่งบรรดาลูกพี่ยังหวาดหวั่น สัตว์อสูรตัวอื่นที่มีฝีมืออ่อนด้อยกว่าก็ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง ดวงตาสีเขียวแต่ละคู่ล้วนหลุกหลิกเผยแววขลาดกลัว พวกที่ใจเสาะหน่อยถึงขั้นทนไม่ไหวก้าวถอยหลังไปก่อนแล้ว
ช่างราบรื่นดีเหลือเกิน!
ขณะที่ซูเพียนจื่อลอบยินดีว่าสัตว์อสูรสมองทึบ ถูกขู่ขวัญได้ง่ายดายถึงเพียงนี้ หมาป่ายักษ์สีครามตัวหนึ่งก็พุ่งพรวดออกมาแผดเสียงประท้วง “พวกเราบุกยึดอำเภอแห่งนี้กันอย่างเหนื่อยยาก พี่น้องมากมายยังกินกันไม่อิ่มเลย แค่ม้าตัวนี้พูดประโยคเดียวก็จะให้พวกเราไป? ไหนเลยมีเรื่องเอารัดเอาเปรียบกันเช่นนี้!”
ได้ยินมันโวยวายดังนั้น สัตว์อสูรตัวอื่นก็ชะงักฝีเท้าเริ่มลังเลใจขึ้นมา
ซูเพียนจื่อแทบอยากสั่งฝูอวิ๋นให้ถีบส่งเจ้าหมาป่ายักษ์สีครามที่สมควรตายตัวนี้กลับบ้านเก่าไปในเท้าเดียว
ฝูอวิ๋นแค่นเสียงฮึก่อนพูดข่มขู่ “นายข้าไม่อยากทำร้ายถูกคนบริสุทธิ์ ขืนพวกเจ้ายังไม่ไปก็อย่ามาโทษว่าพวกเราไม่เกรงใจ” มันพูดพลางเดินกลางอากาศไปข้างหน้าหลายก้าว พลังอันสูงส่งบนร่างยิ่งทวีความเข้มข้น เหล่าสัตว์อสูรจึงหวั่นใจขึ้นมาอีก ทว่าก็ยังไม่ล่าถอย
สองฝ่ายจึงประจันหน้ากันอยู่เช่นนั้น ซูเพียนจื่อกระวนกระวายอยู่ในใจ ด้วยรู้ดีว่ายิ่งยืดเยื้อนานเท่าไร ความแคลงใจของเหล่าสัตว์อสูรก็จะยิ่งเพิ่มพูนขึ้นเท่านั้น และความเป็นไปได้ที่ฝ่ายตนจะช่วยคนสำเร็จก็จะยิ่งน้อยลงตามไปด้วย จะทำอย่างไรดี
เสี่ยงเป็นเสี่ยงกัน!
ซูเพียนจื่อลอบกัดฟันก่อนจะตบคอฝูอวิ๋นเบาๆ เป็นความหมายให้มันเดินตรงไปที่ข้างกายของเด็กทั้งสอง
สาวน้อยค้นพบระหว่างทางว่านับแต่ที่ฝูอวิ๋นปฏิญาณยอมรับเจ้านาย ทั้งสองก็ดูเหมือนจะสื่อใจกันได้ด้วยสัมผัสพิเศษชนิดหนึ่ง ทำให้ต่างรับรู้ถึงเจตนาของกันและกันคร่าวๆ โดยไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
ฝูอวิ๋นรับรู้ได้จริงเสียด้วย มันเดินเชิดหน้าสะบัดหาง ย่างเท้ากลางอากาศไปอยู่เหนือวงล้อมของสัตว์อสูร จากนั้นก็ใช้ท่วงท่าอันผ่อนคลายร่อนลงไปที่ข้างกายของเด็กน้อยทั้งสองซึ่งตกใจจนลืมร้องไห้ไปแล้ว
ซูเพียนจื่อรวบรวมความกล้าอย่างที่สุดเพื่อบังคับตนเองให้จ้องตรงไปหาบรรดาสัตว์อสูรดุร้ายที่อยู่ห่างออกไปไม่ถึงสามฉื่อ ขณะเดียวกันในใจก็พูดให้กำลังใจตนเองว่า…แข็งใจไว้! ห้ามแสดงอาการขลาดกลัวออกไปแม้แต่นิดเดียว ตอนนี้ควรเป็นพวกมันที่กลัวฝ่ายเราถึงจะถูก คิดซะว่าพวกมันเป็นหมาแมวจรจัดหรือก้อนหินท่อนไม้ก็แล้วกัน!
เมื่อสายตาที่เย็นเยียบดุจน้ำแข็งเพ่งตรงไปจับบนร่างของสัตว์อสูรทีละตัว ผนวกกับพลังอันสูงส่งและกล้าแข็งที่ฝูอวิ๋นแผ่พุ่งออกไป ก็ทำให้เหล่าสัตว์อสูรต้องถอยร่นไปอีกหลายก้าวอย่างห้ามไม่อยู่
ต้องอย่างนี้สิ! ยิ่งฝ่ายเราวางโตเท่าไร พวกมันก็ยิ่งไม่กล้าเปิดฉากบุกก่อน!
ซูเพียนจื่อข่มลมหายใจให้มั่นคง ก่อนจะก้มหน้ามองไปยังเด็กน้อยสองคนที่อยู่บนพื้น มือของเด็กชายกอดเด็กหญิงที่ร่วงตกพื้นไปก่อนเอาไว้อย่างแนบแน่น ปากก็พร่ำปลอบอีกฝ่ายเสียงเบา “น้องสาวไม่ต้องกลัวนะ ไม่เป็นไรแล้วล่ะ ท่านแม่อยู่บนสวรรค์ไปเชิญพี่สาวเทพธิดามาช่วยพวกเราแล้ว”
“อื้ม” เสียงของเด็กหญิงฟังคล้ายลูกแมว แววตากล้าๆ กลัวๆ ของนางมองพิจารณาซูเพียนจื่อที่ขี่อยู่บนอาชาเทพตัวสูงใหญ่ ไม่ช้าความเชื่อมั่นและเลื่อมใสศรัทธาก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของนางอย่างเข้มข้น
“บ้านของพวกเจ้าอยู่ที่ไหน ข้าจะส่งพวกเจ้ากลับไปเอง” ซูเพียนจื่อสอบถามด้วยสีหน้าที่ยังคงนิ่งเย็น ในสายตาของเด็กทั้งสองกับเหล่าสัตว์อสูรที่อยู่โดยรอบแล้ว นี่เป็นภาพที่แลดูสูงส่งศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง ประหนึ่งเทพเจ้าผู้อยู่เบื้องบนกำลังก้มมองสรรพชีวิตด้วยสีหน้าอันเรียบเฉย
มีเพียงเจ้าตัวเท่านั้นที่รู้…ว่าตนเองขวัญกระเจิงจนใบหน้าแข็งทื่อไปแล้วต่างหาก
ติดตามตอนต่อไปวันที่ 17 ก.พ. 64