นางพูดจบก็ไม่รอดูท่าทีตอบสนองของเขา เพียงจูงมือซูเจินเจินเดินก้าวยาวผ่านเลยเขาไปยังตำหนักที่ตั้งของสนามสอบอย่างสง่างาม
ซูเทียนหวากัดฟันแสร้งทำเป็นไม่ใส่ใจ สนทนายิ้มหัวกับศิษย์คนอื่นที่อยู่ข้างกายสองประโยค จึงค่อยเดินตามเข้าไปอย่างเนิบช้า
วันนี้คนที่มาชมความครึกครื้นอยู่นอกสนามมีจำนวนมาก ทว่าคนที่เข้าร่วมการสอบย่อยสนามที่สิบหกจริงๆ นั้นมีน้อยยิ่ง
กระทั่งรวมซูเพียนจื่อ ซูเจินเจิน กับซูเทียนหวาสามคนเข้าไปแล้วก็ยังมีทั้งสิ้นเพียงห้าคน
เมื่อทั้งห้ามาจับหมายเลขกำหนดลำดับ ผลก็ปรากฏว่าซูเทียนหวาจับได้ลำดับที่หนึ่ง ถัดจากนั้นเป็นศิษย์ระดับต้นอีกสองคนที่พวกเขาล้วนไม่รู้จัก ตามด้วยซูเพียนจื่อเป็นลำดับที่สี่ และซูเจินเจินเป็นลำดับสุดท้าย
ซูเพียนจื่อขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะหารือกับซูเจินเจินเพื่อสลับลำดับให้ตนลงสนามเป็นคนสุดท้ายแทน
ซูเทียนหวาเห็นความเคลื่อนไหวเล็กๆ ของพวกนางก็กระตุกมุมปากอย่างเหยียดหยาม ไม่ว่าซูเพียนจื่อจะลงสนามเป็นคนที่เท่าไร ไร้ฝีมือก็คือไร้ฝีมือ ไม่มีทางจะเปลี่ยนแปลงผลความพ่ายแพ้ของนางได้อยู่ดี
เมื่อผู้คุมสอบพบว่าซูเพียนจื่อผู้ซึ่งระยะนี้มีชื่อเสียงลือลั่นถึงกับอยู่ในสนามสอบด้วย เขาก็ประหลาดใจอย่างยิ่งเช่นกัน สายตาจึงมองไปหานางซ้ำสองหนก่อนจะหันกลับมาประกาศว่า “เริ่มสอบได้!”
ซูเทียนหวายื่นมือไปฉวยคบไฟขนาดเล็กสองอันที่เสียบอยู่ข้างสนามสอบ จากนั้นก็ปรับลมหายใจให้สม่ำเสมอแล้วเดินไปยังกึ่งกลางของโถงตำหนัก บนชั้นซึ่งเรียงรายอยู่รอบตัวเขาในรัศมีราวสามฉื่อมีเทียนไขบ้างสูงบ้างต่ำเสียบปะปนกันอยู่เต็มชั้นครบหนึ่งร้อยเล่มพอดี
เหง่ง!
สิ้นเสียงย่ำระฆัง สองแขนของซูเทียนหวาก็สะบัดวูบ ซูเพียนจื่อเพียงรู้สึกว่าเบื้องหน้าสายตามีประกายไฟกับแสงสีขาวหมุนควงจนเป็นกลุ่มก้อน ยังไม่ทันจะเห็นชัดถนัดตาว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทุกสิ่งก็ยุติลงแล้ว สองมือของซูเทียนหวาถือคบไฟข้างละหนึ่งอันพลางถอยไปที่ด้านข้าง
ผู้คุมสอบมองดูแสงเทียนที่วูบไหวอยู่ในโถงตำหนักแล้วผงกศีรษะเอ่ยชม “เยี่ยม! เยี่ยม! เยี่ยม! ชั่วเวลาหนึ่งอึดใจจุดเทียนไขได้ถึงเก้าสิบสองเล่ม ข้าไม่ได้เห็นศิษย์ระดับต้นที่โดดเด่นเช่นนี้มานานมากแล้ว”
ซูเพียนจื่อกับซูเจินเจินหันมามองหน้ากัน สิ่งที่ได้เห็นจากในดวงตาของกันและกันก็คือ ‘ความตื่นตะลึง’
โดยเฉพาะซูเพียนจื่อ นางอดไม่ได้ที่จะพึมพำอยู่ในใจ
นี่มันความเร็วระดับไหนกันนี่ คนที่เคยฝึกวิชายุทธ์เก่งกาจถึงเพียงนี้เชียวหรือ ได้ยินว่าเจ้านี่เพิ่งจะทะลวงสู่ขั้นเปลี่ยนกระดูกเท่านั้นนี่นา
นางมิอาจไม่ยอมรับว่าตนอิจฉาคนที่สามารถฝึกวิชายุทธ์เหล่านี้ยิ่งนัก ขณะเดียวกันในใจก็ยิ่งใฝ่หา ‘ไร้นาม’ ที่จะคลายผนึกพรสวรรค์ให้นางได้…ขอเพียงคลายผนึกออกแล้ว สักวันนางก็จะเปลี่ยนเป็นเก่งกาจได้เช่นซูเทียนหวา หรือถึงขั้นเก่งกาจยิ่งกว่า!