“ซูเพียนจื่อ ได้คะแนนเต็มในการสอบย่อยสนามที่ยี่สิบ ยินดีกับเจ้าด้วย! เจ้าคือศิษย์สกุลซูคนแรกที่ทำคะแนนเต็มได้ในการสอบย่อยของศิษย์ระดับต้นครบทั้งยี่สิบสนาม นับจากวันนี้ไปเจ้าก็คือศิษย์ระดับกลางของพวกเราสกุลซูแล้ว!” ผู้คุมสอบเอ่ยเสียงก้อง
เขาเองก็เริ่มจากการเป็นศิษย์ระดับต้น เผชิญกับการสอบย่อยมายี่สิบสนามจนได้เป็นศิษย์ระดับกลางในท้ายที่สุด เขารู้ดีว่าการคว้าคะแนนเต็มทั้งยี่สิบสนามนั้นเป็นเรื่องที่ยากเย็นและน่าเหลือเชื่อมากเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่เข้ามาในถ้ำพันจิ้งจอก ซูเพียนจื่อก็ไม่เคยพักสอบแม้แต่ครึ่งสนาม ฝ่าด่านต่อเนื่องเรื่อยมา ทั้งยังทำคะแนนเต็มได้สนามแล้วสนามเล่า!
ทว่าขณะเดียวกันเขาก็เสียใจแทนซูเพียนจื่ออยู่บ้าง เด็กสาวที่ทั้งเฉลียวฉลาดทั้งใจเด็ดขวัญกล้าผู้นี้กลับเกิดมาไร้ซึ่งพรสวรรค์เชิงยุทธ์ ล้อกันเล่นเช่นนี้สวรรค์ออกจะโหดร้ายเกินไปแล้วจริงๆ
เสียงโห่ร้องยินดีดังกระหึ่มทั้งในและนอกตำหนัก ครึ่งปีกว่ามานี้การแสดงออกอันยอดเยี่ยมของซูเพียนจื่อพิชิตใจศิษย์จำนวนมากในถ้ำพันจิ้งจอก ไม่ว่าในใจพวกเขาจะมีความเห็นเช่นไรต่อซูเพียนจื่อ ทุกคนล้วนมิอาจไม่ยอมรับว่านางได้สร้างปาฏิหาริย์ขึ้นแล้ว หากไม่ใช่เพราะนางเกิดมาไร้ซึ่งพรสวรรค์เชิงยุทธ์ นางก็ต้องกลายเป็นหนึ่งในผู้แข็งแกร่งที่น่าจับตาที่สุดในถ้ำพันจิ้งจอก หรือแม้แต่ทั่วทั้งดินแดนพันเมฆา
ซูเพียนจื่อคารวะผู้คุมสอบท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีของคนทั้งหมด จากนั้นนางก็เดินก้าวยาวออกจากตำหนักไปกอดคอฝูอวิ๋นแล้วเอ่ยว่า “ข้าทำสำเร็จแล้ว!”
“อื้ม! นายข้าช่างเก่งกาจจริงเชียว! ข้าภาคภูมิใจในตัวท่าน…ข้าคิดว่าหากคุณชายหู่หลี่อยู่ที่นี่ก็จะต้องคิดเช่นนี้เหมือนกันแน่!” เสียงของฝูอวิ๋นฟังดูแปลกๆ คล้ายจมูกถูกบางสิ่งอุดตันอยู่
“เจ้าเป็นอะไรไป” ซูเพียนจื่อถามอย่างแปลกใจอยู่บ้าง
“บนตัวท่าน…เหม็นยิ่งนัก…” ฝูอวิ๋นเอ่ยอย่าง…ทุกข์ทรมาน
ซูเพียนจื่อนึกถึงกลิ่นน้ำสมุนไพรบนร่างของตนก็กระอักกระอ่วนขึ้นมาทันใด ฝ่ามือตีไปที่ลำคอของฝูอวิ๋นพลางเอ่ยอย่างแค้นเคือง “อย่างไรข้าก็เป็นสตรีนะ เจ้าจะต้องเถรตรงเช่นนี้ด้วยหรือ”
ฝูอวิ๋นออกแรงสะบัดศีรษะเพื่อสลัดหยดน้ำที่ไหลซึมจากหางตาทิ้งไปไกลๆ ไม่ให้ซูเพียนจื่อพบเห็นความผิดปกติของมันได้
เหง่ง เหง่ง เหง่ง…
ยามนั้นเองเสียงย่ำระฆังเป็นพรวนยาวพลันดังมาจากโถงประชุมที่ไหล่เขา
จากนั้นเสียงพูดอันกังวานก็กึกก้องไปทั่วถ้ำพันจิ้งจอก “ศิษย์ระดับกลางและระดับสูงทั้งหมดจงรุดมาที่โถงประชุมในทันที มีเรื่องสำคัญจะประกาศ!”
ซูเพียนจื่อสบตากับฝูอวิ๋น ก่อนจะบ่นพึมพำอย่างห้ามไม่อยู่ “ต้องรีบด่วนถึงเพียงนี้เชียวหรือ ชั่วดีอย่างไรก็ให้ข้ากลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสักหน่อยสิ…”
สีหน้าของฝูอวิ๋นกลับดูขรึมอยู่บ้าง “เสียงระฆังสิบสองหน น่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแล้ว อย่างไรก็ไปดูก่อนจะดีกว่า อย่างมากท่านก็แค่ยืนห่างจากผู้อื่นให้ไกลหน่อย ยังดีที่ข้าเป็นอาชาเทพผู้มีคุณธรรมล้ำเลิศ ทั้งจงรักภักดีทั้งใจกว้างผ่อนปรน ข้าจะพยายามไม่รังเกียจท่านก็แล้วกัน โอ๊ย…ตัวท่านช่างเหม็นโฉ่จริงๆ…”
ซูเพียนจื่ออับอายจนหัวเสียจึงทุบใส่มันแรงๆ หนึ่งกำปั้นก่อนจะตวาดไล่ส่ง “ไปไกลๆ เลยนะ! ต่อให้ข้าเหม็นสักแค่ไหนก็ไม่เหม็นเท่าปากเจ้าหรอก ฝูอวิ๋นม้าสารเลว!”