เมื่อเซินหยางจวิ้นจู่เห็นเซียวเยวี่ยเหอผู้เป็นบุตรชายเข้ามา จึงถามด้วยสีหน้าบึ้งตึง “อยู่ดีไม่ว่าดี เหตุใดเจ้าต้องไปหาผลประโยชน์กับสกุลฮั่วด้วย ทำให้ฮูหยินทั้งเมืองมาพร่ำบ่นข้า แทบจะกินสตรีสกุลเซียวเราเพื่อระบายโทสะเสียให้ได้!”
เซียวเยวี่ยเหอรู้สถานการณ์ในจวนเมื่อตอนกลางวันแล้ว จึงกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “ฮั่วสุยเฟิงนั่นร่วมมือกับพ่อค้าหาเงินเข้ากระเป๋า แต่กลับโยนเรื่องนี้ให้ภรรยา เขาเอาเรื่องสินเดิมของสตรีมาอ้างเพื่อเอาเงินจากฮูหยินทั้งเมือง เซี่ยวเหนียงแต่งงานกับคนไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ แล้วในอนาคตจะทำเช่นไร”
เซินหยางจวิ้นจู่โมโหจนขว้างเตาอุ่นในมือไปที่เท้าของเซียวเยวี่ยเหอ “ตื่นเสียทีเถิด! นางใกล้จะคลอดอยู่แล้ว เจ้ายังคิดถึงนางไปเพื่ออันใด มารดากับภรรยาเจ้าถูกขูดรีดทรัพย์สินไปแล้ว แต่เจ้ากลับสงสารนาง เดิมทีตอนลี้ภัยกันมาทรัพย์สินส่วนตัวที่แต่ละจวนนำมาด้วยก็มีไม่มากอยู่แล้ว ตอนนี้เจ้าก่อเรื่องขึ้นมาจนทุกจวนต้องเสียเลือดเสียเนื้อกันหมด ความโกรธเคืองคงจะพุ่งไปถึงสวรรค์แล้ว! จวนโม่เป่ยอ๋องไม่ได้ตามไปถึงเมืองเฟิ่งย่อมไม่กลัวว่าจะทำให้ผู้ใดไม่พอใจ แต่สกุลเซียวเรายังต้องเกี่ยวข้องกับเหล่าขุนนาง! วันหน้าข้าไปร่วมงานเลี้ยงน้ำชาที่ใดคงถูกคนมองด้วยสายตาเหยียดหยามเป็นแน่ แล้วต่อไปจะให้ข้าออกจากจวนอย่างไร”
เซียวเยวี่ยเหอขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนพูดด้วยเสียงเย็นชา “แค่ออกเงินเล็กน้อยเท่านั้น ท่านแม่คิดมากเกินไปแล้ว! รอให้สกุลเซียวเรายึดแผ่นดินคืนมาได้ เมื่อพวกนางได้ที่ดินและร้านค้ากลับคืนมาจะซาบซึ้งใจต่อสกุลเซียวเราไม่ทันเสียด้วยซ้ำ แล้วจะมองท่านแม่ด้วยสายตาเหยียดหยามได้อย่างไรเล่า”
เซินหยางจวิ้นจู่เหน็ดเหนื่อยแล้ว จึงเพียงโบกมือให้บุตรชายออกไป
เวลานี้นางเริ่มรู้สึกเสียใจจริงๆ ที่ไม่ได้ให้เซียวเยวี่ยเหอแต่งงานกับคุณหนูใหญ่สกุลฉู่ เว่ยฮูหยินหลานสาวของนางมารายงานสถานการณ์ตอนที่โม่เซี่ยวเหนียงรับมือกับฮูหยินจวนต่างๆ เรียกว่าสงบนิ่งแม้ในสถานการณ์ที่ตึงเครียด ไม่ตื่นตระหนกลนลานแม้แต่น้อย เทียบกับฉีซืออินลูกสะใภ้ในเวลานี้ของนางแล้ว ฝ่ายนั้นมีเล่ห์เหลี่ยมกว่ามาก
ตอนนั้นนึกว่าแม่นางผู้นี้เกิดจากภรรยานอกสมรส เมื่อข่าวอื้อฉาวถูกเปิดเผยออกไป บ้านสามีจะต้องถูกลากลงโคลนไปด้วยแน่นอน บุตรชายนางย่อมไม่ได้ผุดได้เกิดอีก
แต่คุณหนูใหญ่สกุลฉู่ผู้นี้วาสนาดี แม้เผชิญพายุคลื่นใหญ่ที่อาจพัดคนให้จมมิดสิ้นชีพหลายครั้งหลายครา แต่นางก็สามารถผ่านพ้นไปได้อย่างปลอดภัยทุกครั้ง อีกทั้งยังเป็นผู้เกื้อหนุนสามีและบิดาเลี้ยงอย่างแท้จริง ดูจากฉงเจิ้งจวิ้นอ๋องที่เดิมทีเป็นเพียงเด็กกำพร้าไร้รากฐาน แต่ตอนนี้กลับยืนหยัดทัดเทียมสกุลเซียวได้แล้ว ช่างเหมือนเรื่องราวในงิ้วโดยแท้
ตอนนี้ผ่านมาหลายปีแล้ว บุตรชายของนางยังคงมีแต่โม่เซี่ยวเหนียงอยู่เต็มหัวใจ ในห้องหนังสือก็ยังแขวนภาพเหมือนของอีกฝ่ายเอาไว้ด้วย ไม่อาจให้คนนอกได้เห็นจริงๆ หากตอนนั้นเซียวเยวี่ยเหอแต่งงานกับโม่เซี่ยวเหนียง สกุลเซียวคงมีหลานชายสายตรงวิ่งเล่นเต็มจวนไปแล้ว…
เมื่อคิดถึงฉีซืออินลูกสะใภ้ที่นับวันยิ่งพูดน้อยลงทุกที เซินหยางจวิ้นจู่ก็ยิ่งปวดศีรษะ คุณหนูตระกูลใหญ่จะมีประโยชน์อะไรในยุคสมัยที่วุ่นวายเช่นนี้ คล่องแคล่วและทำงานดีสู้สตรีธรรมดาที่เติบโตมาจากตลาดไม่ได้ด้วยซ้ำ!
ในที่สุดเหตุการณ์วุ่นวายเรื่องการบริจาคเงินก็ผ่านไปได้ด้วยดี ฮ่องเต้วัยเยาว์มีค่าเดินทางเพิ่มขึ้นเล็กน้อย สามารถเดินทางอย่างสมพระเกียรติได้แล้ว
ว่ากันว่าทางเมืองเฟิ่งไม่มีตำหนักแปรพระราชฐานที่เหมาะสมสำหรับฮ่องเต้วัยเยาว์ สกุลเซียวจึงต้องรับหน้าที่จัดเตรียมทุกอย่าง แต่โชคดีที่จิ้งอ๋องเป็นคนใจกว้าง ยินดีควักเงินส่วนตัวสร้างตำหนักแปรพระราชฐานแก่ฮ่องเต้วัยเยาว์ อีกทั้งได้ยินว่าในเวลานี้เสิ่นหรงบุตรสาวคนเดียวของเขาก็อยู่ที่เมืองเฟิ่งเพื่อจัดการเรื่องรับเสด็จแทนบิดา
ฮั่วสุยเฟิงไปส่งขบวนที่ประตูเมือง ก่อนอ้างว่าอาการบาดเจ็บเก่ากำเริบ ไม่ยอมเดินทางไปส่งต่อ จึงกลับจวนไปอย่างสบายใจ
แต่ที่โม่เป่ยยังมีบางคนที่ไม่อยากให้ฮ่องเต้วัยเยาว์ออกจากดินแดนไป เมื่อโม่เป่ยอ๋องฮั่วซานคิดถึงเรื่องที่ตนเองถวายบัลลังก์มังกรทองคำไปแล้ว แต่กลับไม่สามารถรั้งโอรสสวรรค์ไว้ได้ก็รู้สึกเสียดายยิ่ง
แม้ในนามเขาจะเป็นโม่เป่ยอ๋อง แต่ในด้านอำนาจเขาไม่อาจเทียบเท่าฮั่วสุยเฟิง เดิมทีเขาหวังจะดำเนินตามแนวทางที่ถูกต้องตามหลักการของราชวงศ์ เพื่อประจบเอาใจราชสำนักและเสริมสร้างความมั่นคงให้กับรากฐานของตนในโม่เป่ย แต่ใครจะคาดคิดว่าฮ่องเต้วัยเยาว์และเสี่ยนเหรินไทเฮารับสิ่งของจากเขาไปแล้ว แต่กลับไม่ทำอะไรทั้งสิ้น นั่งเก้าอี้ยังไม่ทันอุ่นดีก็จากไปเสียแล้ว
ฮั่วซานและภรรยาต่างไม่ใช่คนใจกว้างอะไรนัก ทั้งคู่จึงได้แต่ตำหนิกันและกันด้วยความผิดหวังในยามราตรี จนฮั่วซานต้องค้นหา ‘เพลงเซาปิ่ง’ ที่กงซุนฉินทิ้งไว้แล้วนำมาเปิดอ่านอีกครั้ง