นอกจากนี้นางยังมีความสามารถพิเศษอีกอย่างที่คนอื่นไม่รู้ ก็คือนางสามารถฟังภาษาสัตว์ได้ เพียงแต่ไม่รู้ว่าความถนัดที่ใช้บนโลกจะใช้ได้กับสัตว์วิเศษในดินแดนแห่งนี้หรือไม่
ถ้ามีโอกาสพบสัตว์วิเศษ จะต้องลองดู…
“ฉู่อีเหริน?” ฉู่เซวียนอั๋งเรียกน้องสาวในอ้อมกอดตนเอง
“หืม?” ฉู่อีเหรินได้สติกลับมา นางมองพี่ใหญ่อย่างงุนงง
“ถึงแล้ว” คิดไม่ถึงว่าจะกำลังเหม่อลอย
“อ๋อ?” ฉู่อีเหรินรู้สึกเก้อเขินอยู่บ้าง จากนั้นก็พบว่ารถม้าจอดแล้ว อีกทั้งพี่เล็กยังถือกล่องของว่างลงไปรอนางอยู่ด้านข้างแล้วด้วย
ฉู่อีเหรินแลบลิ้น ก่อนจะถูกฉู่เซวียนอั๋งอุ้มลงจากรถม้า จากนั้นนางก็มองเห็นแม่น้ำเบื้องหน้า
แม่น้ำสายยาวเช่นนี้…อืม เป็นแม่น้ำที่มีความกว้างหลายสิบหมี่ ด้านข้างก็มีผืนป่าขนาดเล็ก… จู่ๆ ฉู่อีเหรินก็นึกถึงชื่อหนึ่ง
“แม่น้ำเสี่ยวฉู่?”
“ใช่” ฉู่เซวียนอั๋งปล่อยนางยืนบนพื้นพลางเล่าให้นางฟังว่า “พวกเราออกจากประตูเมืองทางตะวันออก ด้านนั้นคือป่าตงซู่ ที่นี่มีทุ่งหญ้ากว้าง เป็นสถานที่เหมาะแก่การเดินเล่นและผ่อนคลาย ในทุกปีจะมีเทศกาลพิเศษเทศกาลหนึ่ง เจ้าเมืองฉู่ก็จะจัดงานที่นี่ เชิญบัณฑิตจากตระกูลที่มีชื่อเสียงทั้งหมดมาเฉลิมฉลองด้วยกัน”
“ที่นี่สวยงามยิ่งนัก”
ฉู่อีเหรินหรี่ตาเล็กน้อย สายลมปลายฤดูสารททำให้รู้สึกหนาวอยู่บ้าง ผิวน้ำทอเป็นประกาย มีต้นไม้คล้ายต้นหลิวปลูกอยู่สองฟากฝั่งแม่น้ำ กิ่งก้านอยู่สูงจากพื้นหนึ่งหมี่กว่าห้อยย้อยลงไปยังผิวน้ำ เมื่อมองจากที่ไกลคล้ายผ้าม่านสีเขียวตามธรรมชาติปกปิดผิวน้ำไว้เสียครึ่งหนึ่ง เป็นทัศนียภาพที่ดูเลือนรางเหมือนมีหมอกปกคลุม
“ที่นี่อยู่ใกล้กับเมืองฉู่ที่สุด ทิวทัศน์งดงามที่สุด ขณะเดียวกันก็เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุด ถ้าออกมาจากประตูเมืองอีกสามด้าน กระแสน้ำจะไม่อบอุ่นเท่าที่นี่ ป่าก็จะลึกและใหญ่กว่า เมื่อเทียบกันแล้วถนนก็แคบกว่า ที่ที่มีป่าก็อาจจะมีสัตว์ร้ายออกมาหรือมีกับดักที่นักล่าวางไว้ ถ้าไม่ระวังก็มีโอกาสบาดเจ็บได้ง่าย” ฉู่เซวียนอั๋งเอ่ยกับน้องชายและน้องสาว
น้องสาวไม่เคยออกจากเรือนมาก่อน แต่น้องชายอย่างมากก็เคยเดินเล่นตามถนนในเมืองเพียงไม่กี่สายเพราะอยู่แต่ในห้องฝึกยุทธ์เสียหลายปี ไม่เคยออกนอกเมืองเช่นนี้ เขาจึงใช้โอกาสนี้สอนความรู้บางอย่างแก่ทั้งสอง
อันที่จริงในดินแดนเทพยุทธ์ ขอเพียงไม่ใช่ตัวเมืองใหญ่ สภาพแวดล้อมโดยมากยังเป็นเช่นเดิม แม่น้ำลำธารก็มีหลายสาย ด้วยเหตุนี้จึงมีพืชพันธุ์ดั้งเดิมและสัตว์ชนิดต่างๆ รวมถึงสัตว์วิเศษมากตามไปด้วย บริเวณที่สัตว์วิเศษชอบผลุบๆ โผล่ๆ มักจะมีผู้คนอยู่ด้วย ทำให้บรรยากาศคึกคักยิ่งนัก
ฉู่เซวียนอั๋งพาน้องสาวและน้องชายปลีกตัวจากผู้คนหมู่มาก หลังจากเดินเลียบริมฝั่งน้ำสักระยะหนึ่งก็อุ้มน้องสาวและพาน้องชายไปหาที่ว่างตรงชายป่าเล็กๆ พอปูผ้าเรียบร้อยก็นั่งลง ด้านหลังมีต้นไม้หลายต้น ด้านหน้ามีแม่น้ำเสี่ยวฉู่ ดื่มด่ำกับทิวทัศน์ในช่วงฤดูสารทต่อไปได้
“เหนื่อยและหิวหรือไม่” ครั้นนั่งเรียบร้อย ฉู่เซวียนอั๋งก็ถามน้องสาว
“ไม่เหนื่อย แต่หิวนิดหน่อยเจ้าค่ะ พี่ใหญ่เอาของกินอะไรมาหรือ” ฉู่อีเหรินมองพี่ใหญ่อย่างรอคอย
พูดตามตรง สามปีมานี้นางกินยาลงไปในท้องมากที่สุด รองลงมาก็คือข้าว ส่วนผักใบเขียวและเนื้อสัตว์นับว่าไม่มากนัก ก็ใครให้นางกินไม่ได้ตั้งหลายอย่างล่ะ
“มีพวกของดอง ขนมอบไม่กี่อย่าง พอให้เจ้ารองท้อง ถ้าหิวจริงๆ พวกเราก็กลับเข้าเมืองไปกินข้าวที่หออิ๋งเซียงกัน” แม้จะไม่ได้วางแผนตั้งแต่แรกว่าจะไปกินข้าวในเมือง แต่ในเมื่อจะออกมาข้างนอกทั้งทีฉู่เซวียนอั๋งจึงอยากพาน้องชายและน้องสาวเดินเล่นให้ทั่ว ก่อนออกจากคฤหาสน์เขาจึงกำชับพ่อบ้านไม่ต้องเตรียมอาหารเย็นสำหรับพวกเขา เขาจะพาไปหออิ๋งเซียงที่มีชื่อเสียงที่สุดในเมือง ได้ยินว่าอาหารอร่อยที่สุด และจะได้กินอาหารสดใหม่ที่เพิ่งปรุงสุกด้วย
“หออิ๋งเซียง?!” ฉู่อีเหรินและฉู่เซวียนฉีได้ฟังแล้วต่างตาเป็นประกาย