“แม่นม ตอนที่พบหลันอี๋เหนียงโดยบังเอิญ แม่นมบอกว่าเคยเห็นนางมาก่อนเมื่อสิบปีที่แล้ว?” นางหันไปหาแม่นมหลิน
เดิมทีแม่นมหลินก็รู้สึกว่าชายประหลาดเยี่ยงหลันเจิ้งนั้นน่ากลัวยิ่งนัก พอได้ยินที่ฟู่หลันหยาเอ่ยถาม ก็ยิ่งกระตุ้นให้นางกลัวมากขึ้น จึงตอบด้วยเสียงแผ่วเบาอย่างไม่มั่นใจ “ใช่เจ้าค่ะ แม่นมไม่เคยพบเห็นคนสองคนที่หน้าตาเหมือนกันถึงเพียงนั้นมาก่อน พอได้พบโดยบังเอิญเมื่อตอนเย็น เพียงมองผ่านๆ ก็จำนางได้ทันที แต่ใต้หล้านี้มีด้วยหรือที่ผ่านไปสิบปีแล้วยังหน้าตาไม่เปลี่ยน”
ฟู่หลันหยาขยับมือข้างที่เท้าอยู่บนเก้าอี้ยาว กระเถิบไปนั่งใกล้แม่นมหลินกว่าเดิม “ตอนนั้นแม่นมไปพบเห็นนางที่ใด เหตุใดจึงจดจำฝังใจถึงเพียงนั้น”
แม่นมหลินลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยว่า “ก็…ก็เป็นสหายเก่าคนหนึ่งของฮูหยินนี่เจ้าคะ สิบปีก่อนตอนที่เข้าเมืองจิงเฉิง ฮูหยินเคยดื่มน้ำชากับนางที่หอหลินหลางอยู่หลายครั้ง เพราะนางเกิดมามีรูปโฉมงดงามเย้ายวน ทั้งยังรู้จักใช้จริตมารยา ดูน่าหลงใหล ดังนั้นแม่นมจึงจำได้แม่นยำ”
“สหายเก่า?” ฟู่หลันหยายิ่งแปลกใจ หลันอี๋เหนียงเป็นสหายเก่าของมารดามาตั้งแต่สิบปีก่อนแล้ว? เช่นนั้นก็อาจได้รู้เรื่องอะไรบางอย่างจากที่พวกนางรู้จักกันมาก่อนกระมัง
ฟู่หลันหยาสังเกตสีหน้าแม่นมหลินอย่างละเอียด เห็นอีกฝ่ายพยายามหลบตา รู้ดีว่าพยายามปกปิดอะไรบางอย่างไว้และไม่ได้เล่าออกมาตรงๆ นางจึงหลุบตาลงจิบชา สายตากลอกไปมา…คงต้องถามอย่างอ้อมๆ กระมัง
ใครเลยจะรู้ แม่นมหลินกลับอ้าปากหาวหวอดๆ ลุกขึ้นแล้วเดินไปที่เตียงพลางเริ่มปูเตียง “ดูแล้วฟ้าใกล้จะสว่างเต็มที ในลานด้านนอกก็มีองครักษ์เสื้อแพรอยู่ เจ้าโจรนั่นเกินครึ่งคงไม่กล้ากลับมาอีกแล้ว คุณหนู อย่างไรก็นอนหลับสักพักเถอะเจ้าค่ะ ไม่แน่อาจจะออกเดินทางแต่เช้าตรู่ก็เป็นได้”
ฟู่หลันหยารู้สึกเหนื่อยอ่อนจนแทบจะทนไม่ไหวนานแล้ว ได้ยินเสียงหลี่หมินกับเหล่าองครักษ์พูดคุยกันอยู่ข้างนอกดังแว่วมาเป็นพักๆ น้ำเสียงไม่มีวี่แววเคร่งเครียดตื่นเต้นเหมือนช่วงก่อนหน้านี้ คิดแล้วพวกเขาคงสามารถเฝ้าคุ้มกันในวังได้อย่างเป็นปกติ ชายาซื่อจื่อน่าจะได้รับการช่วยเหลือกลับมาแล้ว นางจึงถอนหายใจโล่งอก ค่อยๆ ยันร่างตนเองขึ้นจากเก้าอี้ยาวอย่างยากลำบาก
แม่นมหลินเห็นเช่นนั้นก็รีบก้าวยาวๆ เข้าไปช่วยประคอง แล้วถอนหายใจเอ่ยว่า “อยู่ดีๆ ก็ต้องมาข้อเท้าแพลง ถ้าเป็นที่บ้านก็ยังเรียกท่านหมอมาช่วยดูได้ แต่ตอนนี้คง…”
ฟู่หลันหยากลับไม่เสียเวลามาคร่ำครวญสงสารตนเอง นางคลำทางไปถึงเตียงได้ก็ล้มตัวนอนลง กอดผ้าห่มแล้วผล็อยหลับไปทันที
สองนายบ่าวหลับสนิทไปจนถึงยามฟ้าสว่างเต็มที่แล้วจึงค่อยตื่นขึ้น เห็นแสงแดดข้างนอกสว่างจ้าจนแสบตา สองนายบ่าวหันมามองหน้ากันบนเตียงด้วยความประหลาดใจ ไม่รู้เลยว่าพวกนางหลับไปนานเพียงใดกันแน่ อีกทั้งก็ไม่มีใครมาปลุกพวกนางให้ลุกขึ้นเตรียมออกเดินทางด้วย
ทั้งสองจึงรีบลุกขึ้นล้างหน้าแปรงผม พอเสร็จเรียบร้อยแม่นมหลินก็พยุงฟู่หลันหยาเปิดประตูออกมา เพิ่งจะเดินออกมาก็พบกับหลี่หมินพอดี
เมื่อไม่มีผิงอวี้อยู่ด้วย หลี่หมินก็ดูจะวางตัวเป็นกันเองมากขึ้น เขาพูดกับฟู่หลันหยาว่า “ใต้เท้าผิงมีธุระ ยามนี้ได้ออกจากวังไปแล้ว ถ้าไม่มีเรื่องอะไร คุณหนูฟู่ก็พักผ่อนอยู่ในห้องก่อนชั่วคราวเถิด พวกเราจะออกเดินทางตอนเที่ยงวัน”
ฟู่หลันหยานึกถึงเรื่องชายาซื่อจื่อขึ้นมาได้ จึงจับมือแม่นมหลินประคองตัวไว้แล้วเดินไปสองก้าว กระซิบถามหลี่หมินยิ้มๆ ว่า “ใต้เท้าหลี่ ชายาซื่อจื่อกลับจวนได้อย่างปลอดภัยแล้วหรือ”
หลี่หมินมองรอยยิ้มของฟู่หลันหยาจนเหม่อลอย ใบหูร้อนผ่าวขึ้นทันที ลืมคิดเสียสนิทว่านางทราบเรื่องที่ชายาซื่อจื่อถูกจับตัวไปจากจวนได้อย่างไร เขารีบพยักหน้า ขณะกำลังจะตอบ ผิงอวี้ มู่เฉิงปิน หวังซื่อเจา และเหล่าองครักษ์เสื้อแพรก็กลับมาพอดี
เห็นได้ชัดว่าผิงอวี้คิดไม่ถึงว่าพอเดินเข้ามาในลานบ้านแล้วจะเห็นฟู่หลันหยาสนทนาอยู่กับหลี่หมิน จึงเหลือบมองนางแวบหนึ่ง เห็นนางสวมชุดผ้าไหมสีม่วงอมชมพูกลีบบัว ผมดำขลับยาวประบ่าถูกรวบไว้ครึ่งหนึ่ง ผิวกระจ่างดุจหิมะ นางยืนอยู่ใต้แสงแดดอันเจิดจ้า ดูโดดเด่นสะดุดตาอย่างบอกไม่ถูก