เหยียนตี้ไม่คิดเป็นเช่นนั้น ทว่าเขาคร้านจะปะทะคารมกับสัตว์วิเศษที่ดูไร้ประโยชน์ตัวหนึ่ง หากมิใช่เพราะฉินโยวโยวเห็นมันเป็นดังดวงใจ เขาคงจับมันไปเป็นอาหารสัตว์วิเศษของตนเองนานแล้ว จู้อวิ๋นเฟยแค้นใจกระต่ายตัวนี้อย่างมาก คิดว่าต้องยินดีจัดการมัน ‘ด้วยปากตนเอง’ แน่นอน
เสี่ยวฮุยพูดอย่างเข่นเขี้ยว “คนที่ไม่ดีกับข้า โยวโยวไม่มีทางชอบหรอก!”
“จะล้างตารอดูแล้วกัน” ไม่รู้ว่าเขาหลอนไปเองหรือไม่ แต่มีชั่วขณะหนึ่งที่เหยียนตี้คลับคล้ายมองเห็นว่าตัวที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้มิใช่กระต่ายทึ่มอวบอ้วนที่ดูสติปัญญาอ่อนด้อยอ่อนแอ แต่เป็นอสูรร้ายบรรพกาลตัวหนึ่งที่อาณาเขตถูกล่วงล้ำจนคิดจะจับคนกิน
“ฮึ!” เสี่ยวฮุยขู่จบแล้ว พอเห็นอีกฝ่ายคล้ายไม่เก็บไปใส่ใจ มันก็ไม่พูดอะไรต่ออีก เพียงประคองขนมหวานก้อนเท่าหัวมันขึ้นมา ก่อนจะอ้าปากกว้างกลืนขนมชิ้นนั้นลงไปในคำเดียว ท่าทางดุร้ายคล้ายว่าสิ่งที่กลืนลงไปคือศีรษะของเหยียนตี้อย่างไรอย่างนั้น
เสี่ยวฮุยเป็นเหมือนที่ฉินโยวโยวบอก มันกินเก่งอย่างยิ่ง กินจุจนแม้แต่เหยียนตี้ที่คิดว่าตนเองมีประสบการณ์และความรู้มากยังต้องทอดถอนใจว่าเห็นเท่านี้ก็เพียงพอแล้ว ขณะเดียวกันก็ค้นพบว่ากระต่ายที่ดูไม่มีอะไรได้เรื่องได้ราวตัวนี้ถึงกับเป็นสัตว์วิเศษที่มีพื้นที่วิเศษอยู่ในตัวโดยธรรมชาติ
ตั้งแต่เสี่ยวฮุยตื่นขึ้นมามันก็ยังไม่หยุดกิน อย่างน้อยๆ ก็กินอาหารเข้าไปมากกว่าขนาดของตัวมันเป็นแปดเท่าสิบเท่าแล้ว อีกทั้งอาหารเหล่านี้ยังถึงกับมาจากในกระเป๋าหน้าท้องของมันเอง แม้หน้าท้องมันจะกลมดิก แต่โดยปกติแล้วย่อมไม่มีทางใส่อาหารเข้าไปได้มากถึงเพียงนี้เป็นแน่ ที่ยิ่งไม่สมเหตุสมผลคือมันกินไปมากถึงเพียงนั้นไม่เพียงไม่ท้องแตกตาย กระทั่งหน้าท้องยังไม่เห็นจะป่องออกมาสักเท่าไรเลย
กระต่ายหิมะหลงทางตัวเมียจะมีกระเป๋าหน้าท้อง แต่เหยียนตี้ไม่เคยได้ยินมาก่อนว่ากระเป๋าหน้าท้องนี้จะเป็นพื้นที่วิเศษได้ด้วย บางทีอาจเพราะมีการเปลี่ยนแปลงผิดปกติบางอย่างที่ทำให้กระต่ายตัวนี้มีจุดเด่นขึ้นมาหนึ่งอย่าง
ทว่าเพียงแค่นี้ก็ไม่นับว่าหายากนัก แม้ของวิเศษที่มีพื้นที่วิเศษเก็บของได้จะพบเห็นได้น้อย แต่ก็ไม่ถือว่าขาดแคลนจนถึงขั้นหาไม่ได้ในใต้หล้านี้ อย่างน้อยตัวเหยียนตี้ก็มีของวิเศษคล้ายๆ กับแหวนสุเมรุและถุงฟ้าดินอยู่ถึงห้าชิ้น
หักลบกันแล้วกระต่ายตัวนี้ก็เพียงแค่หูไวกว่าเท่านั้น การที่มีกระเป๋าวิเศษไม่นับว่าพิเศษแตกต่างแต่อย่างใด
ถูกกระต่ายอ้วนที่สมควรตายตัวนี้ขัดจังหวะ เหยียนตี้ก็ไม่สะดวกใจจะทำอะไรกับฉินโยวโยวต่อ เขาจึงพิงผนังรถหลับตางีบ ไม่สนใจเสี่ยวฮุยเสียเลย
ตอนเที่ยงตรงคนทั้งคณะก็หยุดพักกินอาหารกันริมป่า ฉินโยวโยวยันตัวลุกขึ้นหลังจากหลับมาชั่วยามกว่า มองเห็นลูกน้องสองสามคนของเหยียนตี้กำลังวางแผนจะไปล่าสัตว์เล็กๆ จากในป่าพอดี นางก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นได้ จึงเอ่ยปากพูดกับหนึ่งในนั้น “เจ้าชื่อสือเอ้อร์หลางใช่หรือไม่”
“ใช่แล้ว” สือเอ้อร์หลางตอบรับด้วยความอกสั่นขวัญผวา เขาเคยได้ยินเหลียงลิ่งเตือนว่าฉินโยวโยวจำคนไม่ได้ แต่ไฉนแค่แวบเดียวก็จำเขาได้แล้วเล่า หรือนางจะผูกใจเจ็บเขาเรื่องที่ก่อนหน้านี้เกือบจะกินสัตว์วิเศษของนางเข้าไป
“ช่วยเก็บเห็ดกลับมาให้ข้าจำนวนหนึ่งได้หรือไม่ ได้มากเท่าไรยิ่งดี จะมีพิษก็ไม่เป็นไร” ฉินโยวโยวน้ำเสียงอ่อนโยน ไม่มีเจตนาจะหาเรื่องคนแม้แต่น้อย
แค่เรื่องนี้? สือเอ้อร์หลางพลันโล่งใจ บนใบหน้าอดที่จะมีรอยยิ้มขึ้นมาหลายส่วนไม่ได้ เขาตอบรับไม่ขาดปาก “ได้! ได้! ไม่มีปัญหา” พูดพลางค้อมตัวก่อนหันหลังกลับ เร่งฝีเท้าจากไปกับพรรคพวก
ฉินโยวโยวหันหน้ามาพูดกับเสี่ยวฮุยที่เกาะอยู่บนบ่านาง “อีกประเดี๋ยวคนเขาจะนำเห็ดกลับมาให้เจ้ากิน เจ้าก็อย่าโกรธคนเขาอีกเลย”
“ก็ได้” เสี่ยวฮุยสะบัดหูยาวก่อนตอบอย่างไม่เต็มใจนัก
“เจ้าจำสือเอ้อร์หลางได้?” เสียงของเหยียนตี้พลันดังขึ้นริมหูฉินโยวโยว
“อื้ม” จู่ๆ ฉินโยวโยวก็รู้สึกหนาวยะเยือกอยู่บ้าง ผู้มีพระคุณปีศาจดูคล้ายจะไม่ค่อยพอใจ?
เหยียนตี้ไม่พอใจจริงๆ สาวน้อยนางนี้จำองครักษ์ที่เคยพูดกับนางแค่หนเดียวได้ แต่กลับจำผู้มีพระคุณที่ช่วยนางไว้หลายครั้ง ซ้ำยังแทบจะอยู่ด้วยกันกับนางทั้งเช้าเย็นอย่างเขาไม่ได้ นี่นับเป็นอะไร!