ส่วนเสิ่นหรูป๋อที่เดินตามหลังไป๋ฉวนจงมาก็มีสีหน้าเคร่งเครียด สายตาจับจ้องฮูหยินซือหม่า ไม่รู้ว่าในใจคิดอะไรอยู่
ในตอนที่ไป๋ฉวนจงเตรียมจะหาเรื่องหลี่รั่วอวี๋ ฉู่จิ้งเฟิงก็รุดมาถึงอย่างรวดเร็ว
เขาไม่มองไป๋ฉวนจงที่ยืนอยู่ด้านข้างเลย เพียงแค่กวาดตามองหลี่รั่วอวี๋ที่ตื่นตกใจอย่างเย็นชาแวบหนึ่ง จากนั้นก็สั่งหล่งเซียงกับเหล่าบ่าวหญิงอาวุโสว่า “ไป ส่งฮูหยินกลับห้องพักผ่อน”
หลังจากหลี่รั่วอวี๋เดินไปแล้ว เดิมทีไป๋ฉวนจงคิดว่าฉู่จิ้งเฟิงจะขอโทษ อย่างไรเสียก็เป็นฮูหยินของเขาที่ก่อเรื่อง แต่ตอนนี้สกุลไป๋ทำอะไรฉู่จิ้งเฟิงผู้นี้ไม่ได้ จะต้องทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก ในใจเขาจึงคิดว่าหากอีกครู่ฉู่จิ้งเฟิงขอโทษแล้วตนเองควรจะตอบอย่างไร
แต่คิดไม่ถึงว่าพอฉู่จิ้งเฟิงเอ่ยปากแล้ว ทว่าคำพูดนั้นกลับเป็นอีกแบบ “คุณชายท่านนี้ที่คุณชายไป๋พามาไม่รู้ว่าฮูหยินป่วย คำพูดการกระทำแม้จะลบหลู่นาง แต่เห็นแก่หน้าคุณชายไป๋ ข้าจะไม่ถือสา ทว่าในลานนี้ล้วนเป็นดอกไม้ใบหญ้าหายากที่พี่สาวข้ารักทะนุถนอม หวังว่าคุณชายผู้นี้จะเก็บกวาดให้เรียบร้อย จะได้ไม่รบกวนความงามของดอกไม้ ทำลายความงามไป…”
เขาพูดจบก็ไม่รอให้ไป๋ฉวนจงตอบ หมุนตัวก้าวยาวๆ จากไปทันที
ไป๋ฉวนจงได้รับการอบรมจากพระมาตุลาไป๋อย่างดี ความรู้สึกยินดีโมโหล้วนไม่แสดงบนสีหน้า แต่พอมาเจอฉู่จิ้งเฟิงกลับพังทลาย ทั้งที่ภรรยาสมองเสื่อมของอีกฝ่ายเป็นคนก่อเรื่อง เหตุใดจึงกลายเป็นความผิดของเขาไปได้!
ทว่าฉู่จิ้งเฟิงเป็นคนโอหังเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร ไม่เห็นท่านพ่อของเขาอยู่ในสายตา นับประสาอะไรกับตัวเขาเล่า
ตอนนี้เขาจึงอดกลั้น แล้วสั่งคนให้ประคองเมิ่งเชียนจีที่โศกเศร้าราวบุพการีเสียกลับไปที่ห้องพักแขก
“คุณชายเมิ่ง เหตุใดท่านต้องเก็บคำพูดของคุณหนูรองหลี่มาใส่ใจด้วย นาง…สองเดือนก่อนเพราะอุบัติเหตุตกม้าสมองเสื่อม ความคิดอ่านเหมือนเด็กเล็ก จะมองทะลุกลไกของท่านได้อย่างไร”
เสิ่นหรูป๋อได้ฟังคำพูดเสียขวัญของเมิ่งเชียนจี นับว่ารู้ความเป็นมาในเรื่องนี้ชัดเจนแล้ว จะร้องไห้หัวเราะก็ไม่ออก
แท้จริงแล้วนี่เป็นการเห็นข้อผิดพลาดของหลี่รั่วอวี๋เสียที่ไหน แต่เป็นความคิดของเมิ่งเชียนจีเองทุกอย่าง ทำให้เขาพบข้อบกพร่องของตนเอง
ทว่าคนที่มีพรสวรรค์แบบนี้มักจะมีจุดอ่อน หากเมิ่งเชียนจีมุดเข้าไปในความคิดของตนเอง จะหาทางออกได้เร็วเช่นนี้ได้อย่างไร เขาจึงพึมพำพูดว่า “ปัญญาอ่อนหรือ ผลงานสามปีของข้าสู้สายตาคนโง่ทึ่มอย่างนางไม่ได้หรือ? ไม่เท่ากับแตกต่างจากนางราวฟ้ากับดินหรือ ไม่ได้! ข้าไม่ยอม! ข้าไม่เชื่อว่าจะสู้หลี่รั่วอวี๋ไม่ได้!”
จากนั้นชายหนุ่มสุภาพเรียบร้อยก็พูดกับตนเอง เดินกลับเข้าไปในห้องตนเองอีกครั้ง แล้วปิดประตูแน่นคงไม่ยอมออกมาอีกนาน
ไป๋ฉวนจงเดิมทีไม่ได้เก็บเรื่องการแต่งงานของหลี่รั่วอวี๋มาใส่ใจ สกุลไป๋เป็นใหญ่ในราชสำนัก ทุกวันนี้เรื่องที่ต้องให้คิดมีมากมาย ในเมื่อหลี่รั่วอวี๋ตกม้าสมองเสื่อมเมื่อสองเดือนก่อน กลายเป็นเศษสวะที่ไร้ประโยชน์ บุตรสาวครอบครัวต่อเรือแห่งเจียงหนานเปลี่ยนคู่แต่งงาน ไม่ใช่เรื่องอะไรที่เขาต้องเก็บมาใส่ใจ หากไม่ใช่เพราะคนที่นางแต่งด้วยคือซือหม่าต้าฉู่ ไป๋ฉวนจงก็คงจะลืมนางไปแล้ว
เหตุใดฉู่จิ้งเฟิงจึงต้องการแต่งกับหญิงโง่เขลาสมองเสื่อมผู้หนึ่งด้วย เรื่องนี้ไม่อาจทำให้ไป๋ฉวนจงไม่ครุ่นคิดได้แล้ว
และด้วยความคิดนี้ ไป๋ฉวนจงก็เริ่มตกตะลึง คิดไปคิดมา สีหน้าของเขาก็ยิ่งเคร่งเครียด เดิมทีหลี่รั่วอวี๋สมองเสื่อมไปแล้วก็ไม่เป็นไร อย่างไรเสียหลี่เสวียนเอ๋อร์ที่เสิ่นหรูป๋อแต่งงานด้วยก็เป็นผู้สืบทอดการต่อเรือของสกุลหลี่ ไม่มีทางทำลายแผนการใหญ่ของท่านพ่อ แต่หากหลี่รั่วอวี๋แกล้งบ้าปฏิเสธงานของท่านพ่อ มาแต่งงานกับฉู่จิ้งเฟิง… ไม่เท่ากับติดปีกให้เสือร้ายแซ่ฉู่อย่างนั้นหรือ!
คิดถึงตรงนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดกับเสิ่นหรูป๋อ “คุณชายรองเสิ่น หลี่รั่วอวี๋ผู้นั้นสมองเสื่อมไปแล้วจริงๆ หรือ”
เสิ่นหรูป๋อไม่ได้รีบตอบ ชั่วขณะนั้นเขากำลังคิดว่าควรตอบอย่างไรผลลัพธ์จึงจะเป็นไปตามประสงค์ของตนเอง