ในใจเองก็นึกยินดีเช่นกัน หลังวางช้อนในมือลงก็ยิ้มให้ซุนอิ้งเซวียน “เจ้าช่างใส่ใจนัก วันก่อนข้าไอแค่ไม่กี่ทีเจ้าก็ยังจำได้ ซ้ำยังไม่ลืมว่าช้าชอบกินขนมสองอย่างนี้ ตั้งใจทำมาให้ข้ากินอีก”
“ท่านเกรงใจแล้วเจ้าค่ะ” ซุนอิ้งเซวียนก้มหน้าน้อยๆ เผยต้นคอขาวผ่องนวลเนียนออกมา กล่าวด้วยเสียงนุ่มนวลอ่อนหวาน “ข้าไม่เคยลืมการดูแลที่ท่านมีต่อข้าขณะอยู่ที่กานโจว แล้วจะไม่ตอบแทนได้อย่างไร หากมิใช่พักอยู่ไกล ข้าก็อยากตุ๋นน้ำแกง ทำขนมที่ท่านชอบกินมาให้ทุกวันเจ้าค่ะ”
จวนจิ้งหนิงโหวกับจวนสกุลซุนอยู่กันคนละทิศ หนึ่งตะวันออกหนึ่งตะวันตก ห่างกันไกลพอสมควร นั่งรถม้าต้องใช้เวลาถึงหนึ่งในสี่ชั่วยาม
ฮูหยินผู้เฒ่าชุยชอบซุนอิ้งเซวียนมาตลอด รู้สึกว่านางอ่อนน้อมอ่อนหวาน ตอนอยู่ที่กานโจวก็เกิดความคิดอยากให้ชุยจี้หลิงรับนางเป็นอนุภรรยา ยามนี้มองเห็นนางยังทำผมเป็นทรงของสตรียังไม่ออกเรือน ในใจก็รู้ดีว่าเป็นเพราะอะไร จึงถอนหายใจเบาๆ
“ข้ารู้ว่าในใจเจ้ามีหลิงเกอมาตลอด และก็เป็นเพราะเขาเจ้าจึงไม่ได้แต่งงานมาตลอดเช่นกัน” เสียงฮูหยินผู้เฒ่าชุยระคนแววปวดใจ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นหญิงสาวที่ดีมาก ในใจก็ชมชอบเจ้ายิ่ง อยากให้เจ้ามาเป็นสะใภ้ของข้าเช่นกัน แต่หลิงเกอเขา…”
กล่าวถึงตรงนี้ ในเสียงของฮูหยินผู้เฒ่าชุยก็แฝงแววจนใจอยู่เล็กๆ “เจ้าเองก็รู้ ทั้งๆ ที่หญิงผู้นั้นทิ้งจดหมายฉบับนั้นไว้ บอกว่าทนรับชีวิตที่ยากจนข้นแค้นเพียงนี้ไม่ไหว ต้องการไปหาพี่เฉิงของนาง ทั้งยังเขียนหนังสือหย่าสามีไว้ด้วย นี่เป็นเรื่องผิดจารีตประเพณีโดยแท้ ยามนั้นข้ามีหรือจะไม่เคยโน้มน้าวให้หลิงเกอลืมนาง แต่สองตาเขาก็เอาแต่แดงก่ำ ไม่สนใจคำพูดของข้าโดยสิ้นเชิง ต่อมายังถึงกับทิ้งพู่กันเข้าร่วมกองทัพ ไปนำทัพออกศึก ข้าเข้าใจความคิดความอ่านของเขาดี ขุนนางบุ๋นเลื่อนขั้นช้า ไหนเลยจะเร็วเท่าขุนนางบู๊ สตรีนางนั้นทิ้งเขาไปเพื่ออำนาจและความร่ำรวย เขาก็จะไปแสวงหามันมา ไม่รู้ว่าเป็นเพราะต้องการประชดหรือต้องการให้สตรีนางนั้นเห็นเขามั่งคั่งมีอำนาจแล้วกลับมาอยู่ข้างกายเขาอีกครั้งกันแน่”
ซุนอิ้งเซวียนฟังมาถึงตรงนี้ มือทั้งสองก็กำปลายแขนเสื้อตนเองแน่น ออกแรงมากจนข้อนิ้วขึ้นสีขาวอยู่บ้าง
ทั้งๆ ที่ในใจริษยาแทบตาย แต่นางกลับต้องปลอบฮูหยินผู้เฒ่าชุยด้วยเสียงนุ่มนวล “ท่านโหวเป็นคนมีความรักลึกซึ้ง อีกอย่างถ้ามิใช่ตอนนั้นเขาทำการตัดสินใจอันเด็ดขาดชาญฉลาดนี้ออกมา ยอมทิ้งพู่กันเข้าร่วมกองทัพ บัดนี้ก็คงไม่ได้รับบรรดาศักดิ์จิ้งหนิงโหวจากฝ่าบาท ซ้ำยังได้เป็นผู้บัญชาการมณฑลทหารแล้ว นี่เป็นเรื่องมีเกียรติมีศักดิ์ศรีตั้งระดับใด ท่านสมควรดีใจจึงจะถูกนะเจ้าคะ”
ฮูหยินผู้เฒ่าชุยเองก็ไม่ได้คุยเรื่องในอดีตกับใครมานานแล้ว อาจเป็นเพราะวันนี้ได้ยินชื่อเจียงชิงหว่านเข้า จึงไปสะกิดให้เรื่องในอดีตเหล่านั้นพรั่งพรูขึ้นมา
“มีอะไรน่าดีใจกัน” ฮูหยินผู้เฒ่าชุยมีสีหน้าเรียบเฉย “ทหารหยาบช้า จะเทียบกับบัณฑิตที่สูงส่งบริสุทธิ์ได้อย่างไร”
บรรพบุรุษของนางเคยทำงานเป็นอาลักษณ์ในสำนักฮั่นหลินนับได้ว่าเป็นตระกูลบัณฑิต จึงดูถูกทหารเสมอมา ยามนี้จึงไม่ได้คิดมาก นึกอย่างไรก็พูดออกมาอย่างนั้น
ซุนอิ้งเซวียนจึงมีสีหน้ากระอักกระอ่วนขึ้นมาน้อยๆ บิดานางก็เป็นทหาร นางเองก็เป็นบุตรสาวของทหาร ทว่าเพียงไม่นานก็เก็บแววกระอักกระอ่วนบนใบหน้าลง ฟังฮูหยินผู้เฒ่าชุยพูดต่อ
“มิหนำซ้ำความดีความชอบเหล่านี้ก็ล้วนเป็นเขาใช้ชีวิตไปแลกมา มีหนหนึ่งถูกธนูอาบยาพิษ แม้จะช่วยชีวิตไว้ได้ แต่ที่สุดแล้วก็ขจัดพิษได้ไม่หมด ทุกครั้งที่พิษกำเริบ อวัยวะภายในล้วนราวกับถูกไฟเผา อยู่มิสู้ตาย ข้าบอกให้เขาเลิกไปนำทัพออกศึก เขาก็ไม่ฟัง ยังคงจะไป”