บทที่ 62
ภายในวังจวิ้นอ๋องแขกเหรื่อที่นั่งอยู่ต่างได้ยินเสียงขลุ่ยลอยมาจากอีกฟากกำแพง ล้วนเผยสีหน้าตกตะลึงอย่างเลือนราง
องค์รัชทายาทเงี่ยหูตั้งใจฟังอยู่สักพัก ก็ผงกศีรษะพลางว่า “ฝีมือไม่เลวเลยทีเดียว อย่างน้อยต้องฝึกฝนมาเป็นสิบปี เพียงแต่คนผู้นี้ไม่มีกำลังภายในอยู่เลย ไม่อย่างนั้นคงไล่ตามเสียงพิณของท่านอาได้แล้ว”
ฉุนอันจวิ้นอ๋องกดสายพิณเอาไว้ “วันนี้ใครมาชมดอกไม้ในอารามหรือ”
พ่อบ้านกล่าวรายงาน “ได้ยินว่าคุณหนูบุตรสาวอู่หรูอวิ๋นจัดงานชมบุปผาในอารามขอรับ ผู้ที่ได้รับเชิญมีไม่น้อย มีคุณหนูรองบุตรสาวมุขมนตรีเจิ้ง คุณหนูบุตรสาวแม่ทัพเถิง…”
องค์รัชทายาทตะลึงงันไปชั่วขณะ ครั้งก่อนตอนอยู่ที่คฤหาสน์เล่อเต้าเขาอยากเห็นว่าบุตรสาวแม่ทัพเถิงหน้าตาเป็นเช่นไร จนใจที่วันนั้นคุณหนูเถิงเกิดผื่นลมขึ้นบนใบหน้า ถึงแม้เขาจะรู้สึกเสียดายอยู่บ้าง ทว่าภายหลังก็มิได้เก็บมาใส่ใจ คาดไม่ถึงว่าวันนี้คุณหนูเถิงจะอยู่ในอารามข้างเคียง
จะว่าไปแล้วช่างประจวบเหมาะนัก หากมิใช่เพราะเสียงขลุ่ยที่ดังขึ้นอย่างไม่คาดคิดเป็นเหตุ เขาก็คงไม่ได้รู้ข่าวนี้แล้ว
เดินไปดูสักหน่อยดีหรือไม่นะ แต่แล้วเขาก็คลี่ยิ้มพลางส่ายหน้า ต่อให้สนใจคุณหนูเถิงเพราะแม่ทัพเถิง ก็ไม่สมควรทำอะไรผลีผลาม
องค์รัชทายาทคิดเช่นนี้และหลงลืมมันไปอย่างรวดเร็ว
ฉุนอันจวิ้นอ๋องไม่ซักถามมากความ เพียงก่อนจะเริ่มบรรเลงพิณอีกครั้งก็เหลือบมองพ่อบ้านด้วยสีหน้าเคร่งขรึมแวบหนึ่ง
พ่อบ้านเข้าใจทันที วันนี้บัณฑิตที่มาร่วมงานเลี้ยงที่วังจวิ้นอ๋องตามนัดหมายมีไม่น้อย จะต้องมีพวกเสเพลเหลวไหลปะปนอยู่หลายคน ได้ยินว่าวันนี้มีคุณหนูทั้งหลายมาที่อารามนักพรตหญิงอวี้เจิน หากใครเกิดความคิดไม่ดีเข้าคงแย่แน่ จวิ้นอ๋องครองตัวสะอาดบริสุทธิ์ ย่อมไม่อยากเห็นแขกคนใดมีพฤติการณ์กำเริบเสิบสานอยู่แล้ว
จวิ้นอ๋องต้องการให้เขาป้องกันในจวนเอาไว้ล่วงหน้า จะได้ไม่มีใครไปล่วงเกินแขกสตรีในอารามข้างเคียงเข้า
พ่อบ้านพยักหน้ารับรู้ แล้วถอยออกไปเตรียมการ
ในสวนป่าท้อเด็กสาวบางคนไกวชิงช้า บางคนดื่มด่ำกับน้ำชา บางคนแข่งดึงดอกไม้…เล่นกันอย่างมีความสุข ผ่านไปครู่ใหญ่ถึงมีเด็กสาวบางส่วนทยอยออกจากที่นั่งไปห้องสุขา
เถิงอวี้อี้กำลังแข่งดึงต้นหญ้ากับหลิ่วซื่อเหนียงอย่างสนุกถึงใจ พอเห็นตู้ถิงหลันทำท่าจะลุกจากที่นั่ง จึงหันไปโบกมือให้หลิ่วซื่อเหนียงพร้อมเอ่ยว่า “ไม่เล่นแล้วๆ เอาไว้กลับมาค่อยเล่นอย่างอื่นกันเถอะ”
นางกล่าวแล้วส่งยิ้มให้ขณะวางกิ่งดอกไม้ลง จากนั้นยกชายกระโปรงเดินตามตู้ถิงหลันไป
ตู้ถิงหลันหยิบผ้าเช็ดหน้าส่งให้เถิงอวี้อี้ “ดูเจ้าสิ แค่แข่งดึงดอกไม้ก็ทำเอาเหงื่อออกเต็มหน้าผากแล้ว”
เถิงอวี้อี้เช็ดเหงื่อเรียบร้อย ถือโอกาสดึงแขนตู้ถิงหลันให้มองไปไกลๆ ทางต้นอิ๋นซิ่งสองต้นนั้น น่าเสียดายเวลาคนกลับมาอยู่ใต้ต้นไม้ระยะการมองเห็นจึงถูกจำกัด พอมองไปเช่นนี้เหมือนจะมองอะไรไม่ออกแล้ว
ตู้ถิงหลันมองตามสายตาของน้องสาวไป “กำลังดูสิ่งใดอยู่หรือ”
“พี่สาว ท่านไม่รู้สึกว่าต้นอิ๋นซิ่งสองต้นนั้นมองดูคล้ายๆ ‘ทหารองครักษ์’ สองนายที่คอยปกป้องอารามแห่งนี้หรือ”
ตู้ถิงหลันเพ่งมองไปข้างหน้าอย่างงุนงง ต้นอิ๋นซิ่งมีอายุไม่น้อยแล้ว ตั้งตระหง่านครองพื้นที่ทิศตะวันออกและตะวันตกสองฝั่ง ยามสายลมพัดโชยมา กระทั่งเสียงใบไม้สั่นไหวยังหนักแน่นมั่นคงยิ่งกว่าต้นไม้ต้นอื่นอย่างเห็นได้ชัด
“วัดพุทธกับอารามเต๋าชอบปลูกต้นอิ๋นซิ่งมาแต่ไหนแต่ไร มีอะไรผิดปกติกันเล่า” นางเอ่ยถามยิ้มๆ
เถิงอวี้อี้อธิบาย “หากไม่มีป่าท้อที่อยู่ตรงกลางผืนนี้ต้นอิ๋นซิ่งคงไม่มีอะไรพิเศษ แต่พี่สาวท่านดูสิ ต้นอิ๋นซิ่งสองต้นกับป่าท้อต่างมีระยะห่างกันอย่างพอดีไม่ขาดไม่เกินเลยสักนิด ดุจ ‘หยางเหยา’ ในลักษณะกว้าที่อยู่ๆ ก็ถูกป่าท้อผ่าออกเป็น ‘อินเหยา’ หรือไม่ ลองหันมองป่าท้ออีกครั้งต้นไม้ดอกไม้รกครึ้มถึงเพียงนี้ ดอกไม้ตามกิ่งก้านเหนือศีรษะเกี่ยวพันเหนียวแน่น ซ้อนทับเป็นชั้นๆ เรียงรายกันลงมา มองดูราวกับเส้นหยางเหยาตามธรรมชาติอยู่บ้าง สองฟากฝั่งของผืนป่าเป็นอินเหยา ป่าท้อตรงใจกลางเป็นหยางเหยา แผนผังเช่นนี้มองผิวเผินคล้ายเป็นความบังเอิญ แต่เหตุใดข้าถึงรู้สึกว่ามันดูเหมือนต้ากั้วกว้าที่หมายถึง ‘มากเกินขอบเขต’ ”
ตู้ถิงหลันรู้สึกประหลาดใจขึ้นมาทันใด นางคิดถึงคำเล่าลือเกี่ยวกับอารามแห่งนี้ซึ่งคุณหนูทั้งหลายเพิ่งจะพูดคุยกันไปเมื่อครู่ แววตาอดไม่ได้ที่จะจริงจังขึ้นมา จึงมองตำแหน่งของต้นอิ๋นซิ่งกับป่าท้อ แล้วหันหน้าไปเพ่งมองทิศทางด้านหลังตนเองอีกรอบ “หากเป็นต้ากั้วกว้า ทางเข้าทิศใต้ควรจะมีเส้นอินเหยาสองเส้นวางไว้เพื่อขานรับกันถึงจะถูกสิ แต่ตอนพวกเราเดินเข้าอารามมาก่อนหน้านี้ไม่เห็นมีต้นอิ๋นซิ่งที่หน้าประตูใหญ่เลย”