บทที่ 11
ตั้งแต่คุณหนูใหญ่ได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ ถ้านอนหลับไม่เพียงพอก็จะปวดศีรษะ ดูท่าทางเช่นนี้อาการเก่าน่าจะกำเริบแล้ว…
เซียงเฉ่าสงสารจับใจ แต่จะไม่ปลุกนางให้ตื่นก็ไม่ได้
เมื่อล้างหน้ากลั้วปากเสร็จ ซูลั่วอวิ๋นก็กินข้าวต้มแล้วนั่งรับแดดตรงริมหน้าต่างให้ตนเองสดชื่นขึ้น
ทันใดนั้นมีเสียงร้อง ‘เมี้ยว’ ดังมาจากใต้หน้าต่าง นางรู้ว่าในเรือนของตนเองไม่ได้เลี้ยงแมวไว้ จึงไต่ถามว่าเป็นแมวของเรือนใคร
เซียงเฉ่าถลึงตาใส่แมวน้อยที่เดินเอ้อระเหยลอยชายอยู่ตัวนั้นก่อนเอ่ยตอบ “ปีนออกมาจากถ้ำนางปีศาจแมงมุมเจ้าค่ะ ขุนจนอ้วนพีแล้วยังจะมาลอบกินปลาแห้งที่ตากแดดไว้ของเรือนเราอีก…”
ซูลั่วอวิ๋นได้ยินดังนั้นก็สาวเท้าออกไป พอจับทิศทางของเสียงได้แล้วก็อุ้มแมวตัวนั้นขึ้นมา
แมวน้อยก็ยอมให้นางอุ้มอย่างแสนรู้ ตอนนางใช้นิ้วสางขนแมวก็พบว่ามันสวมปลอกคอเอาไว้ ตามคำบอกของเซียงเฉ่ามีจี้ทองห้อยไว้ด้วย แสดงว่าแมวตัวนี้ได้รับความโปรดปรานจากเจ้าของอย่างยิ่ง…
ซูลั่วอวิ๋นลูบแมวครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็ไพล่ถามเรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันโดยสิ้นเชิง “ใกล้จะถึงวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้แล้วกระมัง”
“หือ?” เซียงเฉ่าอ้าปากค้างอย่างพูดไม่ออก
ซูลั่วอวิ๋นกล่าวต่อขึ้นเอง “ข้าจำได้ว่าท่านพ่อเคยเล่าว่ามีอยู่ปีหนึ่ง เพราะหลังปีใหม่เป็นวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้ ตอนนั้นฮ่องเต้เว่ยเซวียนทรงมีพระประสงค์แสดงความอาลัยถวายแด่อดีตฮ่องเต้ จึงมีพระราชโองการลงมาว่าขุนนางทั่วทั้งราชสำนักแคว้นต้าเว่ยจะจัดงานเลี้ยงรื่นเริงไม่ได้นานหนึ่งเดือน เป็นเหตุให้ท่านอาในตระกูลคนหนึ่งจัดงานฉลองครบเดือนให้บุตรไม่ได้…”
เรื่องนี้จะเสาะหาข้อยืนยันนั้นทำได้ง่ายดาย ตอนซูลั่วอวิ๋นปรุงเครื่องหอมในร้านโส่วเว่ยถือโอกาสคุยเล่นกับลูกจ้างเก่าแก่ในร้านก็ได้รับคำยืนยันแล้ว
หลังจากกลับเรือน นางเขียนจดหมายฉบับหนึ่งอย่างอดรนทนไม่ไหว เป็นจดหมายถึงเพื่อนบ้านใหม่ของนางเอง
ในจดหมายเขียนบอกสั้นๆ อย่างอ้อมค้อมแสดงความรู้สึกยินดีที่ได้เป็นเพื่อนบ้านใกล้เรือนเคียงกับซื่อจื่อ ขณะเดียวกันยังเตือนซื่อจื่อเป็นนัยว่าถึงวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้แล้ว ฮ่องเต้องค์ปัจจุบันยังคงรักษาธรรมเนียมถือศีลสามวันทุกครั้งที่ถึงวันบวงสรวงเช่นเดียวกับฮ่องเต้เว่ยเซวียน พวกนางเต็มใจถือศีลพร้อมกับซื่อจื่อเพื่อแสดงความอาลัย
ความหมายก็คือขอแค่ซื่อจื่อผู้นั้นมิใช่คนโฉดเขลาก็น่าจะตระหนักได้ว่าวันบวงสรวงอดีตฮ่องเต้หรือเสด็จปู่ของเขามาถึงแล้ว เขาควรสำรวมตนบ้าง อย่าจัดงานเลี้ยงดื่มสุราจนโต้รุ่งอีกเลย!
ซูลั่วอวิ๋นปรารถนาที่จะได้นอนหลับอย่างสงบเงียบเหลือเกิน ถึงได้คิดวิธีนี้ออกมา หวังว่าทางจวนซื่อจื่อจะหยุดการสังสรรค์สักสองสามวัน
นางเขียนจดหมายนิรนามเสร็จแล้วก็ผูกไว้กับปลอกคอแมว
ไม่ว่าอย่างไรนางไม่ได้อาศัยอยู่ในตรอกชิงอวี๋ ส่วนจวนซื่อจื่อก็กว้างใหญ่เหลือหลาย ทั้งสี่ทิศมีถนนตรอกซอกซอยที่สลับซับซ้อน เหย้าเรือนที่อยู่ชิดติดกันก็มีไม่ต่ำกว่าสิบหลัง มิหนำซ้ำส่วนใหญ่ยังเป็นจวนของขุนนางในราชสำนัก ส่วนเจ้าแมวตัวนี้ดูท่าทางจะวิ่งเพ่นพ่านเถลไถลไปทั่ว ทางจวนซื่อจื่อคงไม่รู้ว่าใครลอบผูกจดหมายไว้กับปลอกคอแมว
ในจดหมายก็ไม่มีถ้อยคำจาบจ้วงล่วงเกิน ล้วนแสดงถึงความเคารพยกย่องและไว้อาลัยต่อเชื้อพระวงศ์ ไม่น่าจะสร้างความขุ่นเคืองใจให้
แต่ถ้าผู้สูงศักดิ์ผู้นั้นเป็นพวกเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย เกิดรู้สึกขุ่นเคืองใจขึ้นมาก็บอกอย่างมั่นใจไม่ได้ว่าเป็นจดหมายของเรือนไหนอยู่ดี ดังนั้นนางจึงไม่คิดปกปิดลายมือของตนเอง แม้จะมีคนมาเคาะประตูเผชิญหน้า แต่จะบังคับหญิงตาบอดให้เขียนตัวอักษรเพื่อเทียบลายมือได้หรือ
อีกอย่างซูลั่วอวิ๋นรู้ว่าซื่อจื่อผู้นี้เทียบกับเชื้อพระวงศ์คนอื่นๆ ไม่ได้ แม้ว่าจะมีชื่อเสียงโด่งดัง แต่ไม่มีอำนาจ อาณาเขตพระราชทานของเป่ยเจิ้นอ๋องก็ได้ชื่อว่าเป็นชนบททุรกันดาร เกิดภัยแล้งเก็บเกี่ยวอะไรไม่ได้แทบจะปีเว้นปี
คนที่มองอะไรได้ปรุโปร่งต่างรู้ว่าในครั้งนั้นฮ่องเต้เว่ยเซวียนบังคับให้หลานชายของตน อดีตฮ่องเต้เว่ยจงสละราชสมบัติจึงได้ขึ้นครองบัลลังก์ ถึงแม้พระองค์จะให้ความเคารพอดีตฮ่องเต้จนได้รับการสรรเสริญสดุดี แต่กลับหวาดระแวงพระญาติในสายอดีตฮ่องเต้สายนี้
หลังสืบเชื้อสายต่อกันมาสองรุ่น บุตรหลานในสายเป่ยเจิ้นอ๋องไม่มีคนที่มีความสามารถโดดเด่น ล้วนเป็นพวกหยิบหย่งไม่ได้ความ ตามธรรมเนียมบุตรชายคนโตที่เกิดกับภรรยาเอกในทุกรุ่นจะต้องถูกกักตัวอยู่ในเมืองหลวง เสพสุขไปวันๆ จนเสียผู้เสียคนก็สามารถกลับไปสืบทอดตำแหน่งอ๋องที่ไม่เป็นพิษเป็นภัย ครองอาณาเขตแห้งแล้งทุรกันดารนั่นต่อไป
ซูลั่วอวิ๋นกระจ่างแจ้งถึงจุดนี้จึงมิได้กริ่งเกรงเชื้อพระวงศ์ผู้สูงส่งซึ่งมีเพียงยศศักดิ์ที่ไร้อำนาจประหนึ่งเสือกระดาษผู้นี้อย่างเพื่อนบ้านคนอื่น