ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน อุบายรักลิขิตเสน่หา บทที่ 21
เฮ่อหลันฉือไปที่จวนเฮ่อหลันอีกครั้ง
บิดาของนางนั้นไม่แปลกใจ เพียงมองนางพลางถอนใจแล้วเอ่ยว่า “ถ้าเจ้าอยากกลับมาอยู่ที่จวน ทางที่ดีรออีกสักนิด จะได้ไม่…”
“ท่านพ่อ ลูกไม่ได้อยากพูดเรื่องนี้ ลูกมีเรื่องอื่นอยากถามท่าน คดีของเสิ่นอี้กวงอดีตผู้ตรวจการท้องถิ่นอี้โจวท่านยังพอจำได้หรือไม่”
เฮ่อหลันจิ่นสีหน้าเปลี่ยนไปทันที “เหตุใดเจ้าจึงถามเรื่องนี้”
เฮ่อหลันฉือไม่เสียเวลา พูดตามตรงว่า “ท่านพ่อ ลู่อู๋โยวไปอี้โจวไม่เพียงเพื่ออัญเชิญราชโองการเท่านั้น แต่ไปสืบคดีด้วย ที่สืบก็คือคดีนี้ ลูกได้ยินมาว่าก่อนที่เขาจะตายเคยมีฎีการายงานมาที่สำนักตรวจการ ไม่รู้ว่าเกี่ยวข้องกับรูปคดีหรือไม่ เป็นไปได้หรือไม่…”
น้ำเสียงของเฮ่อหลันจิ่นดุดันขึ้นมาทันที “นี่ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าควรจะถาม เจ้ากลับบ้านไปรอก็พอ!”
เรื่องนี้ไม่ทำให้เฮ่อหลันฉือตกใจกลัวแม้แต่น้อย
นางพูดเสียงดังขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน “ท่านพ่อ คดีนี้มีลับลมคมใน แม้แต่เขายังมองออก ลูกไม่คิดว่าท่านจะไม่รู้ แต่ที่ไม่ได้สืบความต่อไปท่านต้องมีเหตุผลที่ลำบากใจบางอย่างแน่นอน แต่ลู่อู๋โยวเพื่อสืบคดีนี้เป็นตายไม่รู้อยู่ที่อี้โจวแล้ว ลูกไม่อาจทำเป็นไม่เห็นได้ ลูกวางแผนว่าไม่กี่วันนี้จะเดินทางไปอี้โจว ท่านไม่สนใจลูกก็ไม่เป็นไร ลูกแค่มาเพื่อสอบถามดูเท่านั้น”
เฮ่อหลันจิ่นพูดด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนกทันที “เจ้าคิดจะไปอี้โจวหรือ!”
“ถูกต้องเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันจิ่นรู้สึกโกรธขึ้นมาแล้ว “ห้ามไป!”
เฮ่อหลันฉือเอ่ยอย่างสงบนิ่งมาก “ลูกออกเรือนแล้ว ท่านพ่อ ไม่ได้เป็นเพียงบุตรสาวของท่านแล้ว ออกเรือนติดตามสามี เขาไปอี้โจว ลูกก็ไปอี้โจว เป็นเรื่องธรรมดามาก ท่านขวางไม่ได้หรอกเจ้าค่ะ”
เฮ่อหลันจิ่นมองบุตรสาวของตนที่ในอดีตแม้จะชอบต่อต้านอยู่บ้าง แต่โดยรวมแล้วยังอยู่ในกรอบ ชั่วขณะนี้เขาไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไร
เขาคิดว่านางแต่งเป็นภรรยาคนอื่นแล้วจะทำหน้าที่ช่วยสามีเลี้ยงดูบุตรอย่างเต็มที่ แต่คิดไม่ถึงว่ากลับมาครั้งนี้นางจะต่อต้านยิ่งกว่าเมื่อก่อนเสียอีก
ไม่รู้ว่าเอาความมั่นใจมาจากที่ใด
เฮ่อหลันจิ่นจ้องหน้าบุตรสาวครู่หนึ่ง
เฮ่อหลันฉือแววตามุ่งมั่น ในดวงตาอ่อนโยนกระจ่างใสไม่แฝงความลังเลหวั่นไหวแม้แต่น้อย เหมือนทั้งที่รู้ว่าหนทางข้างหน้าเป็นหลุมบ่อก็ยังเต็มใจจะก้าวไปข้างหน้า
นี่ทำให้เฮ่อหลันจิ่นคิดถึงสภาพตอนที่ตนเองเพิ่งเข้าสู่วงขุนนางขึ้นมาทันใด
คดีนี้เขาใช่ว่าจะไม่อยากสืบสวน แต่ไม่สามารถแยกร่างไปทำได้ ตำแหน่งยิ่งสูงยิ่งเหมือนเดินอยู่บนน้ำแข็งเปราะบาง เขามักอยากจะทำงานเพื่อราษฎรใต้หล้าให้มากสักนิด แต่ความสามารถของคนคนเดียวอย่างไรเสียก็มีจำกัด
เขาไม่อยากให้บุตรสาวรู้มากเกินไปก็เพื่อปกป้องนางเช่นกัน แต่บุตรสาวของเขาอย่างไรก็เป็นบุตรสาวของเขา ดื้อรั้นยิ่งนัก
ผ่านไปครู่ใหญ่เฮ่อหลันจิ่นจึงหลับตาลง พูดอย่างเหนื่อยล้าเล็กน้อย “ข้ารู้แล้ว”
เฮ่อหลันฉือก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าความคิดบ้าคลั่งของตนเองจะค่อยๆ กลายเป็นความจริงขึ้นมาแล้ว
ที่ผ่านมาสตรีในเรือนไปพึ่งพาสามีที่เป็นขุนนางเป็นเรื่องปกติ แต่ครั้งนี้นางกลับทำในสถานการณ์ที่ลู่อู๋โยวเป็นตายไม่รู้ และลู่อู๋โยวก็ไม่ได้เป็นขุนนางนอกเมืองหลวงอีกด้วย แต่หลังจากตัดสินใจเรื่องนี้แล้วนางกลับรู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว
ถึงขั้นรู้สึกเป็นอิสระมากในทันใด
ตอนที่นางอ่านบทความอยู่ที่จวน อวี้เหลียนหนึ่งในหญิงสาวสองคนที่องค์ชายรองส่งมาก็เอ่ยขึ้นว่า “ได้ยินว่าฮูหยินจะไปอี้โจวหรือเจ้าคะ”
เฮ่อหลันฉือพยักหน้า ก่อนจะนึกขึ้นได้ทันใดว่าหญิงสาวสองคนนี้ก็มาจากอี้โจวเช่นกัน
อวี้เหลียนลังเลครู่หนึ่งจึงเอ่ยว่า “ฮูหยินคงไม่รู้ พี่สาวข้ายังอยู่ที่อี้โจว เป็น…” นางดูเหมือนรู้สึกยากจะเอ่ยปากได้เล็กน้อย “เป็นอนุของใต้เท้าเจ้าเมือง ข้ามีจดหมายฉบับหนึ่ง ฮูหยิน…”
เฮ่อหลันฉือพูดตามจริงว่า “ข้าอาจจะช่วยส่งให้เจ้าไม่ได้”
“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าเพียงแค่คิดว่าไม่รู้ว่าจะช่วยฮูหยินได้หรือไม่ ถ้าฮูหยินไม่วางใจจะเปิดจดหมายออกดูก็ได้เจ้าค่ะ เป็นเพียงจดหมายทั่วไปเท่านั้น”
เฮ่อหลันฉือตกใจเล็กน้อย นางคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะปรารถนาดี
ถึงแม้อีกฝ่ายจะเป็นคนที่องค์ชายรองส่งมา นางจึงมักจะมีความระวังตัวอยู่บ้าง แต่เวลานี้กลับรู้สึกได้รับการปลอบขวัญที่อยากได้มานานอยู่บ้างจริงๆ
“ขอบใจ” ไม่ว่าอย่างไรนางยังคงเอ่ยขอบคุณเสียงเบา
ทุกอย่างเตรียมพร้อมเรียบร้อยแล้ว ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน
เสื้อผ้าสัมภาระของเฮ่อหลันฉือเรียบง่ายกว่าลู่อู๋โยว นางถึงขั้นวางแผนดีแล้วว่าหากไปอี้โจวไม่เจออะไรก็จะเปลี่ยนเส้นทางไปชิงโจว ถึงตอนนั้นค่อยส่งจดหมายถึงลู่อู๋โยว ให้เขาไปเจอนางที่ชิงโจว ชิงโจวกับอี้โจวอยู่ใกล้กัน ทั้งยังสบายใจกว่าอยู่ในเมืองหลวง
ก่อนออกจากบ้านซวงจือยังกังวลใจมาก “จะไปอี้โจวจริงหรือเจ้าคะ พวกเขาต่างพูดว่า…”
นางเหมือนกับจะไปงานศพ ยิ่งไปกว่านั้นเดิมทีนางก็สวมชุดขาวทุกวันอยู่แล้ว
เฮ่อหลันฉือพูดด้วยน้ำเสียงผ่อนคลาย “เป็นต้องเห็นคน ตายต้องเห็นศพ ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงแล้ว”
การรอคอยโดยทำอะไรไม่ได้นั้นทรมานกันเกินไป
วันนี้ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาหลายวันกลับแจ่มใสขึ้น เฮ่อหลันฉือมองประตูใหญ่จวนสกุลลู่ปราดหนึ่งแล้วก้าวขึ้นรถม้าโดยไม่หันหน้ามามองอีก
ล้อรถม้าหมุนกลุกๆ เคลื่อนออกนอกเมืองไป
เฮ่อหลันฉือเป็นที่รู้จักจึงออกจากเมืองอย่างราบรื่นเป็นพิเศษ แทบจะไม่ถูกขัดขวางอะไรเลย แต่ตอนที่นางเดินทางจากไป ริมถนนมีคนมองรถม้าแล้วเริ่มกระซิบกระซาบกัน
“…คิดไม่ถึงว่าฮูหยินเฮ่อหลันจะซื่อตรงเช่นนี้ นางไปที่อี้โจวจริงๆ!”
“ข้ายังคิดว่านางมีเพียงรูปโฉมงดงาม ที่แท้…”
“นางมีความรักลึกซึ้งต่อลู่หกหยวนจริงๆ”
“ถึงแม้ว่า…แต่ข้ายังรู้สึกอิจฉาลู่จ้วงหยวนคนนั้นอยู่หลายส่วน เกิดอะไรขึ้น…”
อยู่ในเมืองหลวงไม่ถูกขัดขวาง แต่นอกเมืองนั้นพูดได้ยากจริงๆ เพื่อเร่งเดินทาง พวกนางจึงออกจากจวนแต่เช้าตรู่ รถม้าเคลื่อนไปกว่าหนึ่งชั่วยามก็มีคนขวางทางไว้
เสียงข้างนอกฟังดูคุ้นหูเล็กน้อย
“…เป็นรถม้าคันนี้! ข้าจำไม่ผิดแน่!”
“ฮูหยินเฮ่อหลัน ช้าก่อน!”
รถม้าถูกขวางเอาไว้
เฮ่อหลันฉือพลิกม่านเปิดดูก็จำได้ทันใด คนที่ไล่ตามนางมาตรงหน้าเหล่านี้ตรงกับภาพเหตุการณ์ในฝันอันห่างไกลของนาง เป็นเจ้าหน้าที่ตงฉ่าง ผู้นำเป็นขันทีเสียงแหลมเล็กคนหนึ่ง
เดิมทีนางเคยคิดจะลอบเดินทางไปตอนกลางดึก แท้จริงแล้วในฝันนางก็ทำเช่นนี้ ไม่แตกต่างอะไรกัน เจ้าหน้าที่ตงฉ่างกับองครักษ์เสื้อแพรสืบข่าวได้เร็วเช่นกัน และหากนางสามารถหลบหนีหูตาของราชสำนักทั้งหมดได้ คงจะทำให้คนเกิดความสงสัย
ไม่สู้ทำอย่างเปิดเผยไปเลยดีกว่า ยิ่งไปกว่านั้นบิดาของนางยังอยู่ในตำแหน่ง ผู้ที่มีเจตนาไม่ดีคงจะเกรงกลัวอยู่เช่นกัน
ทว่าตัวนางในความฝันทั้งตื่นตระหนกและหวาดกลัวอย่างยิ่ง แต่เวลานี้นางกลับสงบนิ่งได้อย่างน่าประหลาด
เฮ่อหลันฉือถึงขั้นยังเตรียมสัญญาณมือไว้ล่วงหน้า ให้พวกจื่อจู๋ไม่ต้องร้อนใจ อย่าลงมือ เพราะนางรู้ดีว่าใครเป็นผู้ส่งคนตรงหน้าเหล่านี้มา
ก่อนหน้านี้ไม่เคยคิดละเอียด นางค่อนข้างประหลาดใจที่เซียวหนานสวินสามารถสั่งหน่วยตงฉ่างทำงานได้
ขันทีผู้นั้นเดินหน้ามาหา พูดด้วยท่าทีเป็นมิตรอย่างยิ่ง “ฮูหยินเฮ่อหลัน นายท่านอยากเชิญท่านไปพูดคุยสักนิด ไม่รู้ว่าฮูหยินจะให้เกียรติได้หรือไม่”
เขาดูแล้วมือไม่มีแรงแม้แต่จะมัดไก่ คงคิดว่านางมือไม้ไม่มีแรงเช่นกัน อย่างมากก็แค่ยิงธนูเป็น
เฮ่อหลันฉือตัดสินใจจะทดสอบผลของการฝึกฝนเป็นเวลานานของตนเอง จึงพูดกับเขาเสียงอ่อนโยนว่า “เช่นนั้นรบกวนกงกงเดินมาบอกข้าใกล้สักนิดได้หรือไม่ว่าเป็นนายท่านคนใด”
ขันทีผู้นั้นได้ยินนางกล่าวอย่างอ่อนโยน ถึงขั้นมีสีหน้ายินดีเล็กน้อย จึงวางใจลงได้ทันที คิดว่าฮูหยินเฮ่อหลันผู้นี้ไม่แน่ว่าแท้จริงแล้วจะเป็นคนที่รู้กาลเทศะ อย่างไรเสียสามีของนางก็ตายแล้ว ท่านผู้นั้นของพวกเขาก็…
เขาจึงเดินเข้าไปหานางทันทีแล้วพูดด้วยรอยยิ้มประจบเอาใจ “ฮูหยินวางใจได้…”
หากท่านผู้นี้ได้รับความโปรดปรานจริง วันหน้าไม่แน่ว่ายังต้องพึ่งพาอีก
ใครจะคิดว่าเขาเพิ่งเดินเข้าใกล้เฮ่อหลันฉือ ยังไม่ทันได้รู้ตัวก็พบว่าตนเองถูกคนดึงไว้ คอถูกตวัดรัด มีดสั้นส่องประกายวาววับเล่มหนึ่งจ่ออยู่ตรงคอหอยของเขา
เฮ่อหลันฉือรัดคอเขาไว้แน่นแล้วเอ่ยว่า “กงกง ไม่รู้ว่าจะปล่อยข้าไปชั่วคราวได้หรือไม่”
ขันทีผู้นั้นมีสีหน้าตกใจ เป็นตายก็คาดไม่ถึงว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้
เขาพูดอย่างตื่นกลัวเล็กน้อย “ฮูหยินอย่าล้อเล่นเลย รีบปล่อยข้าดีกว่า…”
ไม่คิดว่ามีดสั้นที่จ่อตรงคอของเขากลับกดหนักขึ้นอีกเล็กน้อย
เฮ่อหลันฉือสงบนิ่งเป็นพิเศษ พูดเจรจากับเขาว่า “กงกงให้ทางรอดแก่ข้า ข้าก็จะให้ทางรอดแก่ท่าน เช่นนี้ไม่ดีหรือ”
เมื่อเห็นว่ามีดสั้นจะเฉือนเข้าเนื้อแล้วขันทีผู้นั้นจึงลนลานในที่สุด รีบเอ่ยขึ้นว่า “ฮูหยิน ข้าเองก็ทำตามคำบัญชา ท่านระวัง…ระวังอย่าสร้างความลำบากใจ…”
เฮ่อหลันฉือกำลังจะเอ่ยปาก ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้น น้ำเสียงเย็นเยือกรำคาญใจราวกับอสรพิษขู่ฟ่อ
“เฮ่อหลันฉือ ต่อให้ฆ่าเขา เจ้าก็หนีไม่รอดอยู่ดี”
เฮ่อหลันฉือหันมองไปตามเสียง เห็นในที่ไม่ไกลออกไปองค์ชายรองเซียวหนานสวินสวมชุดขี่ม้า พลิกตัวลงจากหลังม้าอย่างคล่องแคล่ว มีเพียงสายตาที่ยังคงจ้องนางไม่วางตา
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 24 เม.ย. 2568)
Comments
