ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เรื่องราวของเรากับนาง บทที่ 2
ภายในคุกหลวงศาลยุติธรรม ตุลาการใหญ่หลี่จี้ถูกต้าซือหม่าจางซีบีบไปถึงมุมผนัง
เจ้าหน้าที่ตรวจการซ้ายขวาเดิมทีไปพักผ่อน เวลานี้ก็กลับจากจวนว่าการมาติดตามการสอบสวนเช่นกัน หน้ากำแพงของคุกหลวงศาลยุติธรรมที่กว้างใหญ่ ผู้คนบ้างยืนบ้างนั่ง บ้างคุกเข่าบ้างนอนหมอบ บางคนกดหว่างคิ้ว บางคนกดร่องนิ้วโป้ง มีบ้างที่สะอื้นไห้หรือไม่ก็ร้องอย่างเจ็บปวด ราวภาพของพระโพธิสัตว์กวนอินและอสูรร้ายในอิริยาบถต่างๆ
จางซีกระแอมทีหนึ่งใส่เงาคนหลากหลายหน้ากำแพง ก่อนจะหันไปพูดกับซ่งไหวอวี้ที่อยู่ด้านข้าง “เจ้าว่าอย่างไร”
ซ่งไหวอวี้ปาดเหงื่อบนหน้าผาก แม้จะเป็นคืนต้นฤดูใบไม้ผลิที่หนาวเย็น แต่กลับรู้สึกว่าสีข้างเหนียวเหนอะ ใบหูร้อนผ่าว แม้แต่เสียงก็ยังแหบแห้งเล็กน้อย
“ท่านต้าซือหม่า เรื่องนี้พุ่งไปที่คุณชายใหญ่ของท่านนะ ข้าน้อยไม่กล้าเข้าเฝ้าฝ่าบาท ยังต้องรอบคอบ…ยังต้องรอบคอบจึงจะถูก”
ตุลาการใหญ่เอ่ยเห็นด้วย “คำพูดของขันทีใหญ่ซ่งมีเหตุผล ถึงแม้จะมีนักโทษหญิงยอมรับว่าลอบเข้าลั่วหยาง เคยซ่อนตัวอยู่ในจวนว่าการของราชเลขาธิการจาง แต่อย่างไรเสียก็เป็นคำพูดฝ่ายเดียว ดึงท่านราชเลขาธิการเข้ามาเกี่ยวข้องกับคดีเช่นนี้ เกรงว่าจะเกิดความวุ่นวายภายหลัง”
จางซีด้านหนึ่งฟังคนทั้งสองพูดคุย ด้านหนึ่งกวาดมองเอกสารความผิดที่ส่งมาใหม่ข้างมือ “เช่นนั้นก็ไม่กล้าสอบสวนต่อแล้วหรือ” พูดจบก็หดมือเข้าใต้แขนเสื้อ เงยหน้าหัวเราะเย็นชาทีหนึ่ง “ก็ได้”
กลิ่นตรงหน้าผนังกั้นไม่น่าดมนัก มีทั้งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวของเหงื่อ กลิ่นเหม็นคาวของเลือด ผสานกับกลิ่นไหม้จากน้ำมันตะเกียง กลิ่นทั้งมวลล้วนฝังลงบนเสื้อผ้างดงามทีละชั้น
จางซีไม่เอ่ยอะไร แต่ไม่มีความคิดจะส่งคนกลับไปคุมขัง สตรีหลายคนเบื้องหน้าซ่งไหวอวี้คุกเข่าไม่ไหวแล้ว หลังถูกลงทัณฑ์ก็ล้วนเจ็บจนอาเจียน ร่างกายล้มพับไปข้างหน้า โก่งคอสำรอกของเสียออกมาทันที
ซ่งไหวอวี้เป็นขันทีคนสนิทของฮ่องเต้ เคยเห็นเลือดมาไม่น้อยแต่ไม่เคยได้สัมผัส เวลานี้ถูกเศษอาเจียนเหล่านี้กระเด็นโดนตัวก็แทบจะดีดตัวยืนขึ้นแล้ว
ตุลาการใหญ่เห็นเขาท่าทางทุลักทุเลจึงพูดกับผู้คุมคุกว่า “ทหาร เอาน้ำมา”
ผู้คุมคุกยังไม่ทันตอบก็เห็นจางซีลุกขึ้นทันใด ตบโต๊ะแล้วตะคอก
“เอาน้ำมาทำอะไร! โลกวุ่นวายไม่ชัดเจน ทุกท่านมีใครบ้างที่ตัวสะอาด! ต่อให้เป็นน้ำสะอาดที่ใช้ไหว้พระในเจดีย์หย่งหนิงก็ยังล้างตัวขุนนางอย่างพวกเราไม่สะอาด!” เขาเหมือนอดทนมานานมาก พูดโพล่งออกมาอย่างอึดอัด คิ้วยกสูงด้วยความโกรธ ยกมือขึ้นชี้ไปกลางหว่างคิ้วของตุลาการใหญ่แล้วพูดตำหนิเสียงดัง “ล้างตัวขุนนางอย่างพวกเราไม่สะอาด หวังประโยชน์ส่วนตัวออกอุบายให้สัตว์เดรัจฉาน เพิกเฉยต่อความผิดใหญ่ของเจ้านาย!”
จางซีพูดจบ ตุลาการใหญ่ก็ยืนนิ่งอยู่กับที่ ไม่อาจโต้แย้งได้
ใครจะรู้ว่าสัตว์เดรัจฉานหมายถึงผู้ใด แต่คิดไม่ถึงว่ากระดูกค้ำยันของแผ่นดินที่มีคุณธรรมสูงส่งผู้นี้กลับเอาคำนี้มาวางใส่บนศีรษะของบุตรชายตนเอง
ซ่งไหวอวี้จำต้องโบกมือไล่ทหารกลับไปแล้วพูดเสียงอ่อนโยนว่า “ใต้เท้าต้าซือหม่าคลายความโกรธด้วย พวกข้าไม่ได้ตั้งใจจะปกป้อง แต่ความผิดนี้หนักเกินไป หากบุ่มบ่ามแจ้งเรื่องไปจนทำให้ฝ่าบาททรงจับราชเลขาธิการจางเข้าคุก เรื่องอื่นไม่ต้องพูดถึง แต่นี่เป็นเวลาที่จะเคลื่อนกำลังไปทางตะวันออก ถ้าราชเลขาธิการเข้าคุก ขุนพลในราชสำนักจะพึ่งแม่ทัพจ้าวเชียนของกองทัพกลางคนเดียวไม่ได้…”
“กองทัพกลางคุ้มกันวังหลวง กลายเป็นคนที่คุ้มกันจวนราชเลขาธิการตั้งแต่เมื่อไร!”
“พูดเช่นนี้ก็ได้ แต่ใต้เท้าต้าซือหม่า ท่านเป็นขุนนางสำคัญคนเดียวที่อดีตฮ่องเต้ทรงฝากฝัง ควรจะคิดถึงสถานการณ์ของฝ่าบาท ตอนนี้ทางเหนือชาวเชียง* โหดร้าย ทางตะวันออกก็เกิดสงครามวุ่นวายอีก ฝ่าบาททรงอยู่ในอันตราย กังวลพระทัยอย่างยิ่ง ถ้าลงโทษราชเลขาธิการในเวลานี้ ผู้ใดจะควบม้าถือดาบช่วยต้านศัตรูให้ฝ่าบาทเล่า” เขาพูดคำเหล่านี้อย่างจริงใจยิ่ง
จางซีแม้จะโกรธจนไหล่สั่น แต่ฟังแล้วกลับรู้สึกหดหู่ใจทันที กับลูกเลี้ยงผู้นี้สิ่งที่เขาเสียใจที่สุดก็คือตอนวัยเยาว์ไม่ได้เก็บไว้อบรมเลี้ยงดูในเมืองลั่วหยาง แต่ปล่อยให้อีกฝ่ายร่วมกองทัพขึ้นเหนือไปพร้อมกับบุตรชายของจ้าวจิ้น ตอนไปเป็นเพียงลูกหมาป่า ตอนกลับมากลายเป็นมีเขี้ยวเล็บน่ากลัวทั่วร่าง ไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอีกต่อไป
ในตอนนั้นเฉินวั่งที่อยู่ในตำแหน่งราชเลขาธิการกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าจางตั๋วซ่องสุมอำนาจส่วนตัวในกองทัพ แสวงหาผลประโยชน์ ผูกขาดอำนาจในพื้นที่ เป็นสัญลักษณ์ของความโกลาหลในราชสำนักอย่างยิ่ง ใครจะรู้ว่าคำพูดส่วนตัวในการสนทนาอภิปรัชญายังไม่ได้เขียนถวายเบื้องพระพักตร์ฮ่องเต้ เฉินวั่งก็ถูกกล่าวหาว่ามีความผิด ถูกจองจำในคุกทั้งตระกูล หลังจากถูกลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยมก็ถูกตัดศีรษะกลางเมือง
ความน่าเวทนาของสถานการณ์นี้ทำให้ทุกคนในราชสำนักระวังอันตรายไปชั่วขณะ
จางซีในยามนี้จึงตระหนักได้ว่าหนุ่มน้อยเสื้อผ้าขาดวิ่น ร่างกายเต็มไปด้วยบาดแผลที่ติดตามสวีหวั่นเข้ามาในบ้านสกุลจาง ยอมอดตายมากกว่าจะคุกเข่าต่อหน้าป้ายวิญญาณสกุลจาง ได้ตัดสินใจเด็ดเดี่ยวที่จะก้าวไปสู่จุดที่ทำให้สกุลจางแห่งเหอเน่ยสูญเสียภาพลักษณ์ที่ดีงามในบรรดาตระกูลขุนนางโดยสิ้นเชิงแล้ว
“ใต้เท้าทั้งสอง ใต้เท้าราชเลขาธิการมาถึงแล้วขอรับ”
จางซียังคงนิ่งเงียบ แต่นักโทษหญิงได้ยินคำพูดนี้กลับตกใจจนตัวสั่นราวตะแกรงร่อน โซ่ตรวนบนมือเท้ากระทบกันจนเกิดเสียงดัง ดวงตาใต้ผมเผ้ายุ่งเหยิงหลุกหลิกร้อนรน
จางซีกวาดตามองหญิงสาวที่คุกเข่าบนพื้นปราดหนึ่ง จึงโบกมือแล้วเอ่ยว่า “นำตัวกลับไปคุมขัง”
ใครจะรู้ว่ายังไม่ทันสิ้นเสียงเขากลับได้ยินเสียงหนึ่งดังมาจากหลังผนังกั้น “เร็วเกินไปกระมัง”
สิ้นเสียงพูดนี้ ตัวคนก็ปรากฏขึ้น
พวกซ่งไหวอวี้หมุนตัวกลับไปมอง เห็นจางตั๋วสวมชุดกึ่งทางการสีดำยืนอยู่ใต้เงาแสงไฟแล้ว
ตุลาการใหญ่เดินเข้าไปคำนับ เขาก็คำนับตอบ จากนั้นก็เดินไปเบื้องหน้าจางซี โน้มตัวแสดงความเคารพอย่างดี
จางซีมองแผ่นหลังของชายหนุ่ม แม้จะมีเสื้อผ้าปกปิด แต่ส่วนลำคอที่โผล่พ้นออกมายังคงมองเห็นบาดแผลจากการลงทัณฑ์ที่ได้รับในจวนสกุลจางเมื่อหกวันก่อนได้รางๆ
เขารู้สึกรังเกียจขึ้นมาชั่วขณะ ไม่ยอมตอบกลับ หยิบรายงานความผิดข้างมือขึ้นมาแล้วโยนไปเบื้องหน้าจางตั๋ว
Comments
