ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน เรื่องราวของเรากับนาง บทที่ 2
แท้จริงแล้วมีอะไรน่าถามเล่า ชาติกำเนิดของคน คนที่สูงศักดิ์อย่างเฉินเซี่ยว ต่ำต้อยอย่างนักโทษเดนตาย เส้นแบ่งเขตกลางนี้ไม่ได้ชัดเจนนัก และใช่ว่าจะแทนที่กันไม่ได้ หากเปลี่ยนเป็นอีกคนหนึ่ง จางตั๋วไม่มีทางใส่ใจไปสอบถามที่มาของเขาเด็ดขาด แต่วันนี้เวลานี้เขาอยากสะกิดแผลเก่าของคนเบื้องหน้าโดยไม่รู้ตัว ไม่มีเหตุผลใด แค่อยากให้นางดูน่าเวทนาเช่นกัน เพื่อไม่ให้เขาดูน่าสงสารเพียงคนเดียวในเรือนชิงถาน
“ถามแล้วเจ้าก็ตอบ”
“เจ้าค่ะๆ” นางไม่เข้าใจเหตุผลของเขา ทว่ายังคงตอบอีกครั้งแต่โดยดี “ข้าจำไม่ได้ว่าพ่อแม่เป็นใคร”
“แล้วเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดจึงถูกพวกเขาทอดทิ้ง”
สีอิ๋นส่ายหน้า “ไม่เคย…อาจเป็นเพราะทางบ้านยากจนเกินไป จำต้องทอดทิ้งข้า หรือไม่ก็ทางบ้านเผชิญเหตุการณ์ไม่คาดคิด อย่างเช่น…เป็นโรคติดต่อ ประสบอุทกภัยอะไรเช่นนั้น พวกเขาตายหมดแล้ว”
“ถ้าพวกเขาไม่ตายและยังมีตำแหน่งสูงด้วยเล่า”
“เช่นนั้นข้าจะไปตามหาพวกเขา ถามพวกเขาว่าเหตุใดจึงใจร้ายเช่นนั้น เหตุใดจึงไม่ต้องการข้า ให้พวกเขาชดเชยให้ข้า! ให้พวกเขาเอาเงินมากมายให้พี่ชายข้า!”
“ถ้าพวกเขาไม่ให้เล่า”
“เช่นนั้นก็ล้างแค้นพวกเขา ข้ามีชีวิตลำบากเช่นนั้น พวกเขามีสิทธิ์อะไรได้สวมเสื้องดงามกินอาหารชั้นเลิศ!”
คำพูดเพียงผิวเผินและตรงตามความจริง แต่ทำให้เขารู้สึกสบายใจ อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าส่งเสียงหัวเราะออกมา “เป็นคนโง่เขลาที่ไม่เข้าใจอะไรเลยจริงๆ”
“ถ้าเป็นคุณชาย คุณชายไม่อยากแก้แค้นพวกเขาหรือ”
จางตั๋วไม่ได้เอ่ยตอบ เขาเงยหน้ามองพระโพธิสัตว์กวนอินหยกขาวองค์นั้น คิดถึงคำพูดไม่กี่ประโยคสุดท้ายที่มารดาพูดกับเขาในคืนที่สกุลเฉินถูกฆ่าล้างตระกูลเมื่อสิบปีก่อน
‘หลังจากนี้ทุกวันเจ้าคุกเข่าหน้ารูปสลักพระโพธิสัตว์กวนอินหนึ่งชั่วยามวันใดที่พระโพธิสัตว์กวนอินหลั่งน้ำตาให้เจ้า ข้าจะมาพบเจ้า’
จางตั๋วคว้าแขนเสื้อของมารดา ‘ท่านแม่ไม่อภัยให้ข้าหรือ’
‘ใช่ เจ้าบาปหนานัก แต่เจ้าวางใจ เจ้าเป็นบุตรชายของแม่ แม่ไม่ปล่อยให้เจ้ารับกรรมคนเดียวแน่นอน เจ้าคุกเข่าหนึ่งวัน แม่ก็คุกเข่าหนึ่งวัน’
นางพูดจบก็เดินจากไป จางตั๋วไม่กล้าดึงนางไว้ ทำได้เพียงคลานเข่าตามไป
‘ตอนนั้นท่านทอดทิ้งข้า ให้ข้าแย่งอาหารกับสุนัขป่าในป่าช้า ข้ายังอภัยให้ท่านเลย ตอนนี้ข้าแค่ฆ่าคนที่ขวางทางเพียงไม่กี่คน พวกเขากับท่านเกี่ยวข้องอะไรกัน เหตุใดท่านจึงไม่ยอมอภัยให้ข้า!’
จางตั๋วถึงวันนี้ก็ยังคงจดจำดวงตาที่มีน้ำตาคลอคู่นั้นได้ มันเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ปวดใจ ถึงขั้นยังมีรอยยิ้มเจ็บปวดบางเบา แต่มองไม่เห็นความละอายใจแม้แต่น้อย
‘แม่…’ สวีหวั่นสะบัดมือของเขาออกแล้วชี้ที่ตัวเอง ‘ในตอนนั้นแม่ไม่ควรรับเจ้าเข้าบ้านสกุลจาง ไม่ถูก ตอนนั้นที่แม่ทอดทิ้งเจ้าก็ควรจะโหดร้ายอีกสักนิด ปลิดชีวิตของเจ้า เช่นนี้เจ้าก็จะไม่ต้องทนทุกข์ สกุลเฉินก็ไม่ต้องรับเคราะห์ บ้านสกุลจางก็ไม่ต้องแบกรับคำด่าทอจากคนใต้หล้า…จางทุ่ยหาน ความผิดทุกอย่างอยู่ที่แม่ ทุกอย่างอยู่ที่แม่!’
จนถึงวันนี้เขายังไม่เข้าใจเหตุผลของมารดาเลย
แต่บนโลกนี้ไม่มีคนเข้าใจเหตุผลของเขาอย่างแท้จริง แม้แต่จ้าวเชียนก็เป็นเช่นเดียวกัน จ้าวเชียนแม้จะไม่ตำหนิเขาด้วยถ้อยคำรุนแรงเหมือนจางซี และไม่เหมือนคนอื่นที่กล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูด ทว่าอีกฝ่ายมักจะพูดถึงเฉินเซี่ยวอยู่บ่อยครั้งและในคำพูดมักเต็มไปด้วยความเสียดาย
ทว่าหญิงสาวผู้นี้ดูเหมือนเข้าใจ ไม่จำเป็นต้องให้เขาปูเรื่องมากเกินไป ถึงขั้นไม่จำเป็นต้องให้เขาผ่าเปิดแผลตัวเอง ย้อนคิดถึงวันเวลาหนังเปิดเนื้อแตกช่วงนั้น นางก็มายืนอยู่กับเขาแล้ว ช่างน่าแปลกอย่างแท้จริง ทั้งที่พวกเขาเป็นคนสองคนที่แตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
“คุณชาย…ข้าพูดผิดแล้วหรือ”
จางตั๋วดึงความคิดกลับมา เห็นนางสองตาแดงก่ำ นั่งคุกเข่าอยู่เบื้องหน้าเขาเหมือนผ่านการร้องไห้ “เปล่า”
เขายื่นมือไปลูบปลายคางของนาง
สีอิ๋นกระถดตัวไปข้างหลังตามจิตใต้สำนึกอีกครั้ง
“แท้จริงแล้ว…ข้าแค่พูดส่งเดช จะกล้าแก้แค้นได้อย่างไรเล่า ยังไม่ทันรอให้ข้าแก้แค้น พวกเขามีตำแหน่งสูงอำนาจมากเพียงนั้น คงตีข้าตายไปนานแล้วกระมัง เป็นไปไม่ได้…”
“ก่อนจะเจอเฉินจ้าว เจ้ามีชีวิตมาได้อย่างไร”
“เป็นขอทาน” นางไม่ได้หลบเลี่ยง ถึงขั้นมีความภูมิใจอย่างน่าประหลาดเล็กน้อย “ตอนนั้นที่เยวี่ยลวี่หลี่มีนักแสดงสูงวัยคนหนึ่ง ข้าไปโขกศีรษะให้เขา พูดคำมงคลไม่กี่ประโยค เขาก็เอาขนมเปี๊ยะมาให้กินแล้ว บางครั้งไปขโมยข้าวต้มบนแผงของท่านลุงจาง ถูกพบก็ถูกตีหนึ่งยก จากนั้นก็ถูกมัดไว้หน้าเตารมควัน แต่หลังจากนั้นพวกเขาเห็นข้าน่าสงสารก็จะปล่อยตัวข้า…”
นางเห็นเขาขมวดคิ้วอย่างช้าๆ เสียงพูดจึงแผ่วลงทุกที จากนั้นก็ไม่กล้าพูดอะไรต่อไป
“เรื่องนี้…ข้าเคยตอบคุณชายสองรอบแล้ว…คุณชายฟังจนรำคาญแล้วกระมัง”
จางตั๋วหยิบแส้หนังงูบนโต๊ะกระเบื้องมา สีอิ๋นตกใจจนดีดตัวขึ้น แต่กลับถูกเขาดึงตัวกลับมา
“ดังนั้นเจ้าจึงกลายมามีสภาพเช่นตอนนี้”
เขาพูดพลางใช้ด้ามจับแส้เขี่ยเปิดสาบเสื้อบนตัวนาง
“อย่าโบยข้า…ขอร้องท่าน อย่าโบยข้า”
“หึๆ ข้าเคยบอกเจ้าหลายครั้งแล้ว การขอร้องคนทำให้เจ้ามีชีวิตต่อไปไม่ได้”
สีอิ๋นสั่นสะท้านไปทั้งตัว ไม่กล้ามองเขาอีก “แต่ถ้าไม่ขอร้องจะมีอาหารกินได้อย่างไร…จะมีเงินได้อย่างไร”
“เจ้ากลัวสุนัขถึงเพียงนั้น เคยถูกสุนัขกัดหรือ”
“เคยถูกกัด…”
“เช่นนั้นเจ้าจะขอร้องสุนัขไม่ให้กัดเจ้าหรือไม่”
“ข้า…ข้าจะหนี…”
“จากนั้นเล่า”
“บางครั้งก็หนีพ้น บางครั้งก็หนีไม่พ้น”
“เจ้าเคยขอร้องขันทีที่ส่งเจ้าเข้าวังผู้นั้นหรือไม่”
สีอิ๋นตื่นตกใจ “เคยขอร้อง…”
“เขาเคยปล่อยเจ้ากับเฉินจ้าวหรือไม่”
“ไม่…”
เหตุผลถูกหักล้าง นางไร้คำโต้ตอบ ทำได้เพียงจับกระโปรงก้มศีรษะลงเหมือนลูกแมวตัวหนึ่ง “ข้าอยากพบพี่ชาย…”
นางพูดจบก็ทนไม่ไหวไอออกมาทีหนึ่ง จากนั้นก็เกรงเขาจะไม่พอใจจึงรีบปิดปากพยายามกลั้นไว้
จางตั๋ววางแส้ในมือลง มือหนึ่งดึงสาบเสื้อที่ห้อยพาดแขนขึ้นมา ยืดตัวยกกาเงินบนโต๊ะกระเบื้องก่อนจะเทน้ำชาลงเต็มถ้วยที่ตัวเองใช้ดื่มอีกครั้งแล้วยื่นไปตรงหน้านาง
หกวันที่ผ่านมา นี่เป็นการทำดีครั้งแรกที่สีอิ๋นได้รับจากเขา ทว่านางไม่เข้าใจเหตุผลในเรื่องนี้จึงรู้สึกไม่สบายใจ นิ่งอึ้งไม่ยอมรับ
พอเห็นนางไม่ขยับ จางตั๋วจึงตัดสินใจวางถ้วยชาลงบนหน้าตัก แล้วอาศัยแสงตะเกียงดวงเดียวมองดูนาง “เจ้ายังมีชีวิตได้อีกสี่วัน นอกจากพบหน้าพี่ชายแล้ว ไม่อยากทำเรื่องอื่นบ้างหรือ”
สีอิ๋นเงยหน้าขึ้น “ข้า…จะทำอะไรได้อีก”
จางตั๋วหัวเราะพลางยกข้อมือเล็กน้อย เขาไม่ได้ตอบคำถามของนาง พูดเพียงว่า “ดื่มน้ำก่อน”
(ติดตามต่อได้ในรูปแบบ E-book ฉบับเต็มวันที่ 27 มีนาคม 2568)
Comments
