บทที่ 4
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ทุกคนในที่นั้นก็หันไปมองหน้ากัน ต่างจับต้นชนปลายไม่ถูก
อยู่ๆ ก็อ้างถึงท่านผู้บัญชาการเสียอย่างนั้นหรือ
หลี่เยี่ยนแอบเหลือบมองผู้เป็นอา นางนั่งตัวตรงสง่า ใบหน้าสะคราญไม่มีความประหลาดใจฉายอยู่แม้แต่นิดเดียว
เหมือนอย่างตอนกลางวันที่คนกลุ่มนั้นถืออาวุธบุกเข้ามาในห้อง นางก็เผชิญหน้าด้วยการนั่งหลังฉากบังตาอย่างสงบเยือกเย็น
ความจริงแล้วหลี่ชีฉือแค่กำลังคิดว่า…ที่แท้เขาก็ยังจำข้าได้
วันวิวาห์ได้พบกันลวกๆ เพียงครู่เดียว เนื่องจากมีจารีตประเพณีล้อมกรอบไว้อยู่ นางจึงเห็นเขาแค่รางๆ
ภายหลังพี่ชายนางสิ้นลม ตัวเขาเองก็รีบร้อนเดินทางกลับแดนเหนือในคืนนั้น อีกทั้งไม่มีโอกาสได้พบกันอีก ใครเลยจะคาดคิดว่าเมื่อได้เจอกันโดยบังเอิญ เขาจะสามารถจำนางได้ในปราดเดียว
“ท่านผู้บัญชาการอยู่ที่ใด” นางถามหลังจากที่เงียบไปสักพัก
หลัวเสี่ยวอี้ตอบ “ยังคงนำกำลังพลไล่ตามจับสายลับชาวทูเจวี๋ย จำนวนหนึ่งที่หลบหนีไปขอรับ ที่เข้าค้นโรงเตี๊ยมเมื่อตอนกลางวันจนเผลอล่วงเกินเซี่ยนจู่ก็เพราะเหตุนี้ ใช่ว่ามีเจตนาจาบจ้วง”
มีเหตุผลรองรับหนักแน่น หากนางนำมาเป็นประเด็นต่อว่าต่อขาน จะกลายเป็นไม่ให้ความสำคัญกับงานหลวง
จากนั้นซินลู่ก็ถูกเรียกให้เดินกลับเข้ามาในห้อง รับคำสั่งสองสามคำจากนาง ก่อนจะเดินออกไปพูดกับหลัวเสี่ยวอี้ว่า “ต้องรบกวนให้ท่านขุนพลรอสักครู่ ขอพวกบ่าวประทินโฉมให้เซี่ยนจู่ก่อนค่อยออกเดินทางกัน”
ชายหนุ่มรับคำแล้วลุกขึ้นยืนพลางบ่นในใจ สมแล้วที่เป็นหญิงมีสายเลือดราชวงศ์ ช่างแก่พิธีรีตองเหลือเกิน
อันที่จริงหลี่ชีฉือไม่ได้ประทินโฉมอะไร แค่แกล้งปล่อยให้หลัวเสี่ยวอี้แกร่วรอสักพักเท่านั้น
พอประตูห้องปิดลง นางก็ปลอบโยนหลานชายด้วยสายตา แล้วบอกให้เขาดื่มชาร้อนๆ สักถ้วย
ระหว่างช่วงเวลานี้ซินลู่กับชิวซวงก็ช่วยกันเก็บข้าวของเท่าที่เก็บได้
ส่วนหลัวเสี่ยวอี้ถูกปล่อยให้ตากลมรออยู่ข้างนอกเป็นนาน ฟังแค่เสียงฝีเท้าหน้าประตูก็รู้ว่าเขาเดินกลับไปกลับมามากกว่าสิบรอบ
จนภายหลังหลี่ชีฉือชักใจอ่อน เห็นว่าแกล้งจนพอหอมปากหอมคอแล้ว นางถึงได้ยอมพยักหน้าสั่งการให้ออกเดินทาง
พอเปิดประตูเดินออกไป หลัวเสี่ยวอี้ก็รีบปรี่เข้ามาหา
ตอนกลางวันมีฉากบังตาขวางอยู่จึงเห็นไม่ชัด เขาเพิ่งจะมีโอกาสแอบมองฮูหยินผู้บัญชาการผู้ไม่เคยเห็นหน้าค่าตากันมาก่อนก็ตอนนี้เอง
หลี่ชีฉือสวมเสื้อคลุมกันลมแบบมีหมวก สิ่งที่มองเห็นชัดที่สุดใต้แสงคบไฟคือเรือนร่างอ้อนแอ้นอรชร
หลัวเสี่ยวอี้ยิ้มยิงฟันพลางนึกในใจ สมกับเป็นสตรีที่ถูกหล่อเลี้ยงมาด้วยลุ่มน้ำแดนใต้ ช่างอ่อนช้อยนุ่มละมุนเหมือนกิ่งหลิวไม่ผิดเพี้ยน