ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน บัญชาปราบโฉมงาม บทที่ 3
แม้ก่อนจะกลับมาที่กระท่อมนางได้ไปล้างตัวที่แม่น้ำมาแล้ว แต่จะอย่างไรก็อยู่ในป่าตอนกลางคืนมืดมิด ต้องคลำทางมองเห็นไม่ชัด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะล้างได้สะอาดเอี่ยม บนตัวจึงยังคงมีกลิ่นเหม็นและความสกปรกเหลืออยู่
ไป่หลี่ซีฉวยโอกาสตอนที่มู่เอ๋อร์ไปอาบน้ำออกจากบ้าน จนอีกหนึ่งชั่วยามให้หลังจึงกลับมา ตอนกลับมา ในมือถือห่อของมาด้วยห่อหนึ่ง
เขาเดินไปที่ลานด้านหลัง ไม่ได้ยินเสียงน้ำในห้องอาบน้ำ เหลียวมองไปรอบๆ ก็ไม่เห็นคนจึงหมุนตัวกลับมา แล้วก็ต้องตะลึงงันเพราะเห็นตรงราวตากผ้ามีแม่นางหน้าตาสดใสงดงามผู้หนึ่งยืนอยู่ นางหน้าตาขาวผ่องสะอาดสะอ้าน ดูแล้วน่าจะอายุราวสิบหกสิบเจ็ดปี รูปร่างหน้าตาหมดจดงดงาม ดวงตาคู่นั้นสุกใสแวววาว เส้นผมบนศีรษะไม่ได้เกล้ามวยแบบหญิงสาว หากแต่ปล่อยยาวคลุมแผ่นหลัง เพียงรวบไว้อย่างเรียบง่าย จอนผมทัดไว้หลังหู เผยให้เห็นใบหูขาวผ่องนวลเนียนดุจหยกคู่หนึ่ง แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องกระทบร่างของนาง ทั้งที่ไม่มีเสื้อผ้างามหรูหราปิ่นปักผมเครื่องประดับ แต่กลับมีท่วงท่าของความสูงส่งเหนือผู้คนเผยออกมาให้เห็น
หัวคิ้วดวงตาที่บริสุทธิ์ไร้ราคีคู่นั้นกำลังมองดูเขาด้วยความประหลาดใจอยู่พอดี หากไม่เพราะบนร่างของนางสวมเสื้อผ้าบุรุษที่เขาให้ยืมใส่ เขาไม่มีทางจำได้เลยว่านางก็คือมู่เอ๋อร์
นี่เป็นครั้งแรกที่คนทั้งสองมองกันและกันเต็มตา และเป็นครั้งแรกที่ไป่หลี่ซีได้เห็นรูปโฉมของอูมู่ฉินอย่างชัดเจน เขาคิดไม่ถึงว่านางที่อาบน้ำชำระล้างร่างกายจนสะอาดเอี่ยมจะดูสดใสงดงามเช่นนี้ แม้จะพูดไม่ได้ว่างามเพริศพริ้ง แต่รอยยิ้มของนางก็ชวนหลงใหล ในยามเช้าตรู่ที่เงียบสงบเช่นนี้ เป็นภาพที่เขาเห็นแล้วสะดุดตา เกิดความประทับใจอย่างลึกซึ้ง
“พี่ชาย อรุณสวัสดิ์” แม้แต่เสียงก็ไพเราะเสนาะโสต
ไป่หลี่ซีมองประเมินนางไม่พูดไม่จา จากนั้นก็เบนสายตาออก ขณะกำลังคิดว่าควรจะเอ่ยปากอย่างไร นางก็เดินเข้ามาหา ทักทายพูดคุยกับเขาด้วยท่าทางคล้ายรู้จักกันมานาน
“พี่ชาย ขอบคุณที่ให้ยืมเสื้อผ้า สวมแล้วเหมาะกับตัวมาก มู่เอ๋อร์ไม่มีอะไรจะตอบแทน จึงทำอาหารเช้าไว้ให้ถือเป็นการตอบแทน พี่ชายคงจะหิวแล้ว รีบมากินเถิด” นางพูดยิ้มๆ บนใบหน้าไม่มีความเคอะเขินที่ทั้งสองคนเพิ่งพบหน้ากันจริงๆ เป็นครั้งแรก ตอนมองสบตากับเขาก็ไม่มีความขวยอายของอิสตรี กลับดูเป็นธรรมชาติประหนึ่งสนทนากับพี่ชายที่อยู่ข้างบ้านอย่างไรอย่างนั้น
ไป่หลี่ซีพอได้ยินว่านางทำอาหารแล้ว จึงเก็บคำพูดที่คิดจะพูดไว้ชั่วคราวก่อน เดินตามนางเข้าไปในบ้าน แล้วก็เห็นบนโต๊ะมีอาหารจานเล็กสามจานกับแผ่นแป้งย่างสองชิ้นวางอยู่
เขานั่งลงเงียบๆ ร่วมกินอาหารกับนาง แผ่นแป้งย่างได้กำลังพอดี กัดแล้วกรุบกรอบยิ่ง ทั้งยิ่งเคี้ยวก็ยิ่งหอม อาหารสามจานเป็นเนื้อสัตว์สองจานกับผักป่าหนึ่งจาน กินแกล้มกับแผ่นแป้งย่าง กลืนลงท้องไปแล้วในปากก็ยังมีกลิ่นหอมติดอยู่
อาหารที่นางทำรสชาติอร่อยจนไม่มีอะไรให้ติ ตอนเขาอยู่ในวังแม้กินอาหารรสเลิศทุกวัน ทว่ากลับดึงดูดใจเขาเหมือนอาหารที่นางทำไม่ได้ ยั่วเย้าจนหนอนตะกละในกระเพาะของเขาไม่สงบ แต่เขาก็อดทนไว้ พยายามเหลืออาหารไว้ให้นางกินมากหน่อย
ไป่หลี่ซีคิดในใจว่าอาหารมื้อนี้ก็ให้นางกินจนอิ่มเถิด กินอิ่มแล้วจะได้ไล่คนได้ถนัดปาก
หลังกินอิ่มอูมู่ฉินลุกขึ้นมาจะเก็บจานชาม แต่กลับถูกเขาห้ามไว้
“รออยู่ที่นี่” เขาหมุนตัวเดินเข้าไปในห้อง ครู่เดียวก็เดินกลับออกมา ในมือถือห่อของห่อหนึ่ง เป็นของที่เขาเอากลับมาจากข้างนอกในวันนี้
“รับไป” เขาเอาห่อของยัดใส่มือนาง
“พี่ชาย นี่คืออะไร” อูมู่ฉินถามด้วยความอยากรู้
“ในนี้มีเสื้อผ้าอยู่สามชุด เอามาให้เจ้า”
นางมีสีหน้าคาดคิดไม่ถึง ทำท่าจะถามต่อ เขาก็ยื่นเหอเปา ให้นางใบหนึ่ง
นางรับมาถือไว้ พบว่าเหอเปามีน้ำหนักพอสมควร แล้วก็ได้ยินเขาพูดต่อ “นี่เป็นเงิน เจ้าเอาเก็บไว้ ใช้สอยอย่างประหยัด น่าจะพอใช้ไปได้สักสามเดือน ที่ข้าช่วยเจ้าได้ก็มีเพียงเท่านี้ วันนี้เจ้าจงไปเสียเถิด”
กล่าวคำพูดเหล่านี้จบ เขาก็รอนางร้องไห้และเตรียมใจไว้พร้อมแล้ว ไม่ว่านางจะขอร้องวิงวอนหรือร้องไห้คร่ำครวญบอกตนเองน่าสงสารเพียงใด เขาก็จะปฏิเสธไปทั้งหมด
เขาไม่อาจให้นางอยู่ด้วยได้ ถ้าให้นางอยู่ต่อไป เกรงว่าสุดท้ายนางจะไม่ยอมจากไป ดังนั้นเขาจำเป็นต้องพูดต่อหน้าให้เข้าใจ
ผู้ใดจะรู้ได้ ความจริงกลับไม่เป็นเช่นที่เขาคาดหมาย นางไม่ได้เสียใจเช่นที่เขาคิด ไม่เพียงมิได้ร้องไห้ ยังไม่มีท่าทีน้อยอกน้อยใจ หลังจากฟังเขาพูดจบกลับยิ้มออกมาด้วยความซาบซึ้งใจ
“พี่ชาย ท่านเป็นคนดีจริงๆ เป็นห่วงกลัวข้าจะไม่มีเสื้อผ้าสวมใส่ ซื้อเสื้อผ้ามาให้ข้า ไม่เพียงเท่านั้น ยังให้เงินข้าอีกด้วย” นางส่ายหน้าและเอากระเป๋าเงินยัดใส่มือคืนให้เขา “พี่ชาย ท่านซื่อเกินไปแล้ว ข้าเป็นคนแปลกหน้า คนแปลกหน้าบุกเข้ามาในบ้านท่าน ท่านไม่ไล่ไป นอนบนเตียงของท่าน ท่านก็ไม่ว่าแม้แต่คำเดียว เกิดข้าเป็นคนเลวจะทำอย่างไร โชคดีคนที่ท่านเจอคือข้า หาไม่จะเป็นอย่างไรก็ยังไม่รู้”
ไป่หลี่ซีอึ้งตะลึงงัน นางถึงกับว่าเขาซื่อเกินไป? เขาก็กำลังไล่นางอยู่มิใช่หรือไร
“เสื้อผ้าเหล่านี้ข้าจะรับไว้ ส่วนเงินท่านยังคงเก็บไว้เองเถิด ข้าไปล่ะ ท่านดูแลตนเองให้ดี จำไว้ เงินทองไม่อาจให้ผู้ใดเห็น ท่านต้องระวังอย่าให้คนหลอกเอาเงินไปเปล่าๆ” อูมู่ฉินพูดจบก็ไม่โอ้เอ้ชักช้า รับเอาห่อของแล้วหมุนตัวเดินจากไปทันที
เขาใช้สายตามองส่งนาง เห็นนางยังหันกลับมายิ้มให้เขาพลางโบกมืออำลาอีกหลายครั้ง เขาให้เสื้อผ้ากับเงินแก่นางก็เพราะเห็นนางน่าสงสาร และเพื่อความสะดวกในการไล่นางไป ปรากฏว่าหญิงสาวกลับไม่ได้รู้สึกเสียหน้าที่ถูกไล่แม้แต่น้อย ยังกลับมาสั่งกำชับเขาให้ดูแลตนเองดีๆ อีกด้วย
กระทั่งเงาร่างของนางออกจากประตูรั้วหายลับไปจากหัวโค้ง ใบหน้าที่ไร้อารมณ์ความรู้สึกของเขาจึงมีรอยยิ้มปรากฏออกมาเล็กน้อย
ดูเหมือนเขาจะเข้าใจผิดไปแล้ว นางเป็นเพียงหญิงสาวที่ใสซื่อ แต่เช่นนี้ก็ดี อย่างน้อยก็ไม่ร้องไห้คร่ำครวญ ลดความยุ่งยากให้เขาไปได้ไม่น้อย