ฝีมือการทำอาหารของพ่อครัวหอไป่เป่าล้ำเลิศเหนือใคร อาหารแต่ละชนิดล้วนเป็นอาหารเลิศรส ฉะนั้นร้านอาหารซึ่งเดิมทีไม่ได้ชื่อหอไป่เป่า* ก็ยังต้องเปลี่ยนมาใช้ชื่อนี้แทนเสียเลย กิจการรุ่งเรืองจนกลายเป็นร้านเก่าแก่เลื่องชื่อ
สกุลอวิ๋นก็มีหอสุราอยู่เช่นกัน ทว่าอยู่ห่างจากที่นี่ไปอีกไกลมาก นายท่านอวิ๋นและหลงจู๊ของหอไป่เป่าเป็นสหายเก่ากัน ฉะนั้นทุกครั้งที่นางมาที่นี่ หลงจู๊ก็จะหยอกล้อนางว่าแอบมาขโมยวิชาอีกแล้ว
วันนี้อวิ๋นจ้าวจองห้องส่วนตัวในมุมเงียบสงบไว้ล่วงหน้า ขณะที่ผู้อื่นยังต่อแถวรออยู่ข้างนอก นางกลับสามารถเดินผ่านเข้ามาด้านในราวกับปลาแหวกว่าย แล้วขึ้นไปที่ห้องอาหารส่วนตัวที่อยู่บนชั้นสาม
ซ่งโหย่วเฉิงมารออวิ๋นจ้าวอยู่นานแล้ว เนื่องจากนางเป็นฝ่ายนัดหมายด้วยตนเอง พอเห็นนางเดินเข้ามาในห้อง เขาก็เริ่มชงชาทันที เอ่ยยิ้มๆ ว่า “รีบนั่งลงเร็วเข้า ข้าสั่งอาหารเอาไว้แล้ว แล้วก็มีขนมด้วย เจ้าจะต้องชอบแน่”
เพียงซ่งโหย่วเฉิงมองปราดเดียวก็รู้ว่าอวิ๋นจ้าวบรรจงแต่งตัวมา เขารู้สึกยินดียิ่ง
‘คราวก่อน’ ที่หอไป่เป่า ตอนที่อวิ๋นจ้าวเพิ่งรู้ความรู้สึกของซ่งโหย่วเฉิง นางยังรู้สึกผิดต่อน้ำใจที่เขามีให้กับนางอยู่บ้าง ทว่าภายหลังนางก็นึกขึ้นได้ว่าหลังจากลู่อู๋เซิงติดตามท่านแม่ทัพลู่ไปเมืองชายแดนแล้ว สุดท้ายซ่งโหย่วเฉิงก็แต่งงานไปกับสตรีอื่น นางถึงไม่รู้สึกผิดต่อน้ำใจของเขามากเพียงนั้นแล้ว
ตอนนี้เมื่อความจริงปรากฏขึ้นชัดเจน นางจึงมีแต่ความเคียดแค้นชิงชัง นิสัยดื้อรั้นของนางเป็นต้นเหตุที่ทำให้นางต้องแยกจากลู่อู๋เซิงนานถึงสิบปี ซึ่งนั่นก็เป็นเพราะซ่งโหย่วเฉิงวางแผนยุแยงอยู่เบื้องหลังด้วย
ชาร้อนจนได้ที่แล้ว ซ่งโหย่วเฉิงจึงรินชาให้นางถ้วยหนึ่งก่อน รอนางดื่มคำหนึ่งแล้วบอกว่ารสดี เขาก็เผยสีหน้ายิ้มแย้มแล้วรินให้นางอีกถ้วยหนึ่ง
ทว่าชาถ้วยนี้อวิ๋นจ้าวดื่มไปได้เพียงครึ่งหนึ่งก็วางถ้วยลง “ยังต้องรินชาอีกถ้วย”
แม้ซ่งโหย่วเฉิงจะรู้สึกหงุดหงิดเพียงใด สีหน้าเขาก็ไม่แสดงอารมณ์ออกมา หลังจากนั้นเขาก็คิดได้ว่ายอมให้พี่สาวน้องสาวของนางมาด้วยก็ได้ อย่างน้อยเขาก็ยังพอรับได้อยู่บ้าง
“มีพี่น้องของเจ้ามาเพิ่มหรือ” ซ่งโหย่วเฉิงเพิ่งจะถามจบ ที่ด้านนอกก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น
“ข้าเอง” เสียงที่ดังเข้ามาในห้อง ทำให้ซ่งโหย่วเฉิงตกใจอย่างยิ่ง
เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ๆ ลู่อู๋เซิงถึงมาที่นี่ได้
ทันทีที่อวิ๋นจ้าวได้ยิน สีหน้านางก็ดีใจอย่างเห็นได้ชัด ทั้งยังลุกไปเปิดประตูให้ด้วยตนเอง
ลู่อู๋เซิงกับนาง คนหนึ่งมาก่อนคนหนึ่งมาหลัง ที่เป็นเช่นนี้ก็เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ซ่งโหย่วเฉิงเกิดความสงสัย และไม่ทำให้เขาต้องอึดอัดจนทนไม่ได้ไปเสียก่อน กระนั้นอวิ๋นจ้าวก็ยังชอบใจอย่างที่สุด ยิ่งเห็นซ่งโหย่วเฉิงหงุดหงิดใจมากเท่าไร นางกลับยิ่งเบิกบานใจ ยิ่งเขาเป็นทุกข์เพียงใด นางก็ยิ่งยินดีปรีดามากขึ้นเท่านั้น
ใครใช้ให้เขาเป็นคนถ่อยเช่นนี้เล่า
ซ่งโหย่วเฉิงอยากจะยิ้มแย้มต้อนรับลู่อู๋เซิงเช่นกัน ทว่าแรงโจมตีจากการเผชิญหน้าอย่างไม่ทันตั้งตัวนี้หนักหน่วงเกินไป ยิ้มออกไปไม่รู้ว่าน่าเกลียดแค่ไหน
อวิ๋นจ้าวแสร้งมองไม่เห็นอาการของซ่งโหย่วเฉิง ดึงแขนลู่อู๋เซิงให้นั่งลง นำน้ำชาที่ซ่งโหย่วเฉิงรินให้นางวางลงตรงหน้าเขา พลางส่งยิ้มอ่อนหวาน “น้ำชาถ้วยที่สองยังไม่ได้ริน ข้ารู้ว่าท่านคงกระหายน้ำไม่น้อย ดื่มถ้วยนี้ของข้าก่อนเถอะ แม้ข้าจะดื่มไปแล้ว แต่ก็รู้ว่าท่านไม่ถือสา”
ลู่อู๋เซิงรู้ว่าอวิ๋นจ้าวจงใจยั่วโทสะซ่งโหย่วเฉิง ซึ่งเรื่องที่ซ่งโหย่วเฉิงวางแผนแยกพวกเขาออกจากกันนั้นก็น่าโมโหจริงๆ หากเป็นยามปกติเขาคงไม่อยากให้มีคำครหาใดๆ เกิดขึ้น ทว่าตอนนี้พอเห็นถ้วยชาที่อวิ๋นจ้าวส่งมาแล้ว เขาก็ยื่นมือออกไปรับมาแล้วยกดื่ม
ซ่งโหย่วเฉิงยิ้มไม่ออกไปชั่วขณะ กระทั่งรอยยิ้มเสแสร้งก็เค้นไม่ออกอีกแล้ว