บทที่ 6
กลิ่นหอมของโจ๊กล่าปาฟุ้งกระจายไปทั่วคฤหาสน์สกุลอวิ๋นตั้งแต่เช้าตรู่ กระทั่งอวิ๋นจ้าวที่กำลังล้างหน้าก็ยังได้กลิ่นไปด้วย นางสูดลมหายใจเข้าลึกยาว จากนั้นจึงจุ่มหน้าลงไปในอ่างที่มีน้ำเย็นจัด พ่นลมหายใจออกมากลายเป็นฟองอากาศบุ๋งๆ สาวใช้ที่ยืนปรนนิบัติอยู่ด้านข้างเห็นแล้วรู้สึกหนาวยะเยือกแทน
อวิ๋นจ้าวกลับไม่สนใจ วันนี้มีเรื่องต้องทำมากมาย นางจะเลินเล่อไม่ได้ เจอน้ำเย็นสักหน่อยจะได้สดชื่นขึ้น
สี่เชวี่ยส่งผ้าซับหน้าให้นาง กล่าวด้วยน้ำเสียงกังวลว่า “คุณหนู เมื่อคืนข้าไปถามซ่งหมัวมัวแล้ว นางรู้จักนักพรตที่ฝีมือใช้ได้อยู่คนหนึ่ง”
“นักพรต? นักพรตอะไรกัน” อวิ๋นจ้าวเช็ดหยดน้ำบนใบหน้า หลุดออกจากภวังค์แล้วหันไปมองสี่เชวี่ย “เจ้านึกว่าข้าโดนผีเข้า?”
สี่เชวี่ยโดนจ้องจนขลาดกลัวขึ้นมา “ไม่ ข้าไม่กล้าเช่นนั้น ก็แค่กลัวเจ้าค่ะ”
อวิ๋นจ้าวหลุดขำพรืดออกมา “ข้าไม่ได้ตำหนิเจ้า ข้าชอบเจ้ามากต่างหาก”
คำพูดนี้ออกมาจากใจจริง สี่เชวี่ยที่ไม่รู้สาเหตุแน่ชัดตกใจจนทำถาดไม้ร่วงลงพื้น นางสมควรไปเชิญนักพรตมาสักคนถึงจะถูก
อวิ๋นจ้าวอารมณ์ดีเป็นพิเศษเช่นนี้ พวกบ่าวรับใช้ต่างก็มองออก ผู้อาวุโสในสกุลอวิ๋นก็มองออกเช่นกัน เพราะตั้งแต่วันที่หนึ่งเป็นต้นมา อวิ๋นจ้าวก็เหมือนมีเมฆฝนดำครึ้มปกคลุมร่าง กระทั่งคนในครอบครัวยังไม่กล้าเอ่ยอะไรแม้แต่ประโยคเดียว มาวันนี้เห็นนางอารมณ์ดีขึ้นมาก อวิ๋นฮูหยินคิดเรื่องอื่นไม่ออก เอ่ยถามนางเบาๆ ว่า “คืนดีกับคุณชายลู่แล้วกระมัง”
“ยังเจ้าค่ะ” อวิ๋นจ้าวกล่าวเสริมอีกประโยค “แต่ก็ใกล้แล้ว”
บรรดาผู้อาวุโสพากันถอนหายใจเฮือกใหญ่ด้วยความโล่งอก อวิ๋นจ้าวเห็นพวกเขาเป็นเช่นนี้ก็รู้สึกสะท้อนใจ จึงเอ่ยว่า “ทำให้ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ต้องเป็นห่วงแล้ว”
เพราะอะไรที่ผ่านมานางถึงไม่เคยสังเกตเห็นว่าคนในครอบครัวก็เศร้าไปกับนางด้วย เอาแต่อมทุกข์อยู่คนเดียว นึกว่าตนเองเป็นคนที่เศร้าเสียใจที่สุดในใต้หล้า ทั้งที่ความจริงไม่แน่ว่าบิดามารดาอาจจะเศร้าเสียยิ่งกว่านางด้วยซ้ำไป นางช่างใจร้ายยิ่งนัก
เมื่อกินอาหารเช้าเสร็จ ฮูหยินผู้เฒ่าก็เอ่ยขึ้นว่า “อวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้อากาศดูแจ่มใสไม่เลว อีกสักพักเจ้าไปไหว้พระที่วัดวั่นซานเป็นเพื่อนย่าเถอะ”
อวิ๋นจ้าวไหนเลยจะยอมไป และนางก็ไม่ยอมให้ท่านย่าต้องไปด้วย เพราะบนเขานั้นมีคนร้ายกำลังดักซุ่มอยู่ หากเกิดเรื่องผิดพลาดจนทำให้ท่านย่าต้องมีอันตรายจะทำเช่นไร นางกลอกตาครุ่นคิดแล้วตอบว่า “ท่านย่า ท่านเคยบอกว่ากลิ่นอายศักดิ์สิทธิ์จะเข้มข้นที่สุดหากไปวัดในตอนเช้ามิใช่หรือ กว่าพวกเราจะเตรียมตัวพร้อม ปีนขึ้นบันไดร้อยแปดสิบกว่าขั้น ไปถึงก็คงสายมากแล้ว ไม่สู้วันพรุ่งนี้ตื่นเช้าสักหน่อย ข้าจะไปกับท่านด้วย”
ฮูหยินผู้เฒ่าประหลาดใจอย่างมาก หลานสาวนางยอมตื่นเช้าขึ้นเขาแล้วหรือ จิตใจปลาบปลื้มยินดี กระนั้นก็ยังกล่าวว่า “หายากที่อวิ๋นเอ๋อร์จะสนใจ แต่วันพรุ่งนี้ย่ามีนัดดื่มน้ำชากับท่านย่าวั่น คราวหน้าก็แล้วกัน”
อวิ๋นจ้าวยิ้มแย้มพลางเอ่ยรับคำ นางทำได้แค่หาทางขัดขวางไม่ให้ท่านย่าไปไหว้พระในวันนี้เท่านั้น พอคิดว่าสามารถหลีกเลี่ยงอันตรายไม่ให้เกิดขึ้นได้แล้ว หัวใจนางก็สงบมั่นคงขึ้นบ้าง
นางลองคำนวณเวลาดูแล้ว ก่อนหน้านี้ลู่อู๋เซิงจะออกจากบ้านในยามซื่อ* เช่นนั้นก็นับว่ายามนี้ยังเช้าอยู่ นางยังมีเวลาจัดการเรื่องอื่นได้ เช่น…เรื่องของซ่งโหย่วเฉิง
ซ่งโหย่วเฉิงก็เหมือนกับนาง ถือกำเนิดในตระกูลพ่อค้า มีฐานะมั่งคั่งร่ำรวย กิจการหลักของบ้านก็คือเครื่องกระเบื้องเคลือบและตลาดปลา มีการทำการค้าร่วมกับสกุลอวิ๋น เพราะซ่งโหย่วเฉิงมีความสัมพันธ์สนิทสนมกับนาง หลายปีมานี้สกุลอวิ๋นจึงช่วยดูแลการค้าของสกุลซ่งไปไม่น้อย เช่น โถกระเบื้องเคลือบใส่ใบชาหลังอบแห้งซึ่งเอาไว้ใช้ในไร่ชา ถ้วยจานชามที่ใช้ในหอสุราของสกุลอวิ๋น รวมถึงปลาสดใหม่ทุกวันที่ใช้ทำอาหารในหอสุราก็ล้วนมาจากกิจการของสกุลซ่ง
อวิ๋นจ้าวเป็นคนเปิดเผยใจกว้าง นางดีต่อลู่อู๋เซิงและดีต่อสหายของเขาด้วย แต่นางไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นสหายกับหมาป่าตาขาว** พอคิดถึงเรื่องนี้อวิ๋นจ้าวก็ได้แต่กัดฟันกรอด