จู่ๆ เสียงเหลาะแหละของใครบางคนก็ดังลอยมาจากนอกประตูตำหนัก “เกิดอะไรขึ้น ไฉนวันมงคล ทุกคนถึงได้ร้องไห้น้ำตาท่วมกันเช่นนี้ หลานสะใภ้เฮยพั่งของกระหม่อมเล่า นางไปอยู่เสียที่ใด”
ต้วนหล่งเยวี่ยเดินโบกพัดในมือไปมา รอยยิ้มที่ไม่อินังขังขอบบนใบหน้าของเขากับบรรยากาศภายในตำหนักไม่เข้ากันเลยแม้แต่น้อย ใบหน้างดงามอาบไว้ซึ่งรอยน้ำตาของพระพันปีซีดเผือดลงทันที
เรื่องถนัดที่สุดของต้วนหล่งเยวี่ยคงไม่มีอะไรเกินไปกว่าการทำสิ่งที่ไม่สมควรกระทำ ต้วนหล่งเยวี่ยนิสัยเอ้อระเหยลอยชายเป็นที่สุด อีกทั้งยังเป็นคนที่ปากเสียที่สุดในวังหลวงอีกด้วย
ต้วนหล่งเยวี่ยร้อง “โอ้!” ด้วยท่าทีฮึกเหิมพลางเดินตรงเข้ามา ดึงเอาตัวหลิวจินเฟิ่งอ้วนดำตัวน้อยที่พยายามถอยหลังหลบอย่างสุดกำลังออกมายืนอยู่ต่อหน้าทุกคน หลังจากพิจารณาอยู่รอบหนึ่ง เขาก็จุปากพูด “อัครมเหสีของพวกเราไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เสด็จพี่ ข้าว่านางมีน้ำมีนวลกว่าท่านในยามนั้นอยู่โข”
พระพันปีทรงพยายามระงับความรู้สึกถูกหยามเหยียดเอาไว้อย่างสุดกำลัง พระนางทรงหันไปรับสั่งกับจินเฟิ่ง “นี่คือพระปิตุลาของเจ้า หล่งเยวี่ยอ๋อง”
จินเฟิ่งยังมิทันได้แสดงคารวะ ต้วนหล่งเยวี่ยก็คว้าตัวนางไว้พลางพยุงให้ลุกขึ้น “ทำเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ทรงเป็นถึงพระมารดาของแผ่นดิน ไหนเลยจะคุกเข่าให้กับคนไร้ประโยชน์เช่นกระหม่อมได้ กระหม่อมต่างหากถึงควรแสดงคารวะต่ออัครมเหสี” เขาค้อมตัวประสานมือคารวะจนแทบจรดพื้น จินเฟิ่งไม่รู้ว่าตนเองควรทำเช่นไร
“ปล่อยเขา!” พระพันปีทรงเปล่งเสียงประชดออกมาคราหนึ่ง
องค์จักรพรรดิทรงลุกขึ้นยืน พร้อมตรัสเรียก “เสด็จอา…” ออกมาด้วยพระสุรเสียงกระอักกระอ่วน
ต้วนหล่งเยวี่ยเหมือนไม่ได้ยิน เขาลากองค์จักรพรรดิไปอีกด้านพร้อมโอบไหล่พระองค์ไว้พลางกระซิบกระซาบ แม้จะบอกว่าเป็นการกระซิบกระซาบ แต่เสียงของเขากลับดังพอที่สตรีทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นจะได้ยินกระจ่างชัดทุกถ้อยคำ
“ฝ่าบาทอย่าได้ทรงเห็นว่านางหน้าดำไปหน่อย ร่างกายอวบอ้วนไปนิดแล้วจะไม่สนใจนาง พระองค์ยังทรงพระเยาว์ ยังไม่รู้ถึงสิ่งวิเศษของอิสตรี พระองค์ควรรู้ไว้ว่าสิ่งดีๆ ในตัวพวกนางล้วนถูกห่อหุ้มอยู่ใต้เสื้อผ้าอาภรณ์พวกนั้น ไม่อาจมองเห็นได้ในยามปกติ จำต้องรอให้ค่ำมืด ปลดรัดเอวของพวกนางออกแล้วกำจัดสิ่งที่ห่อหุ้มผิวหนังไว้ หลังจากนั้นทรงค่อยๆ ตรวจสอบดูโดยละเอียด ถึงจะรู้ว่าด้านในสบายพระหัตถ์หรือไม่ ถูกพระทัยหรือไม่…”
ใบหน้าของพระพันปีกับสวีไท่เฟยแดงก่ำขึ้นมารวดเร็ว “ต้วนหล่งเยวี่ย! เจ้า…เจ้าพูดจาเหลวไหลอันใด!”
“พระราชนัดดาของกระหม่อมผู้นี้วันๆ ที่ได้พบเจอหากมิใช่สตรีเพศก็เป็นขันที พระปิตุลาเช่นกระหม่อมหากไม่ถ่ายทอดความรู้ของบุรุษเพศให้ เช่นนั้นแล้วกระหม่อมจะมีหน้าไปพบอดีตองค์จักรพรรดิได้เช่นไรกัน…”
พระอุระของพระพันปีกระเพื่อมขึ้นลงรุนแรง สีพระพักตร์จากที่เคยขาวสล้างราวหิมะกลับกลายซีดเผือด ก่อนจะเปลี่ยนเป็นเขียวคล้ำ “เจ้า…เจ้า…เจ้า…” พระนางทั้งเจ็บปวดพระทัยทั้งพิโรธโกรธกริ้ว ยังไม่ทันได้ตรัสอะไรก็ทรงเป็นลมหมดสติไปเสียก่อน
พวกนางกำนัลกับเหล่าขันทีต่างโกลาหลขึ้นมาทันที สวีไท่เฟยก้มพระพักตร์รำพันพิลาปร่ำไห้อยู่กับพื้น “อดีตองค์จักรพรรดิ พระองค์ไฉนถึงทรงจากพวกเราไปรวดเร็วเช่นนี้! แล้วพระองค์จะให้เด็กกำพร้ากับหญิงม่ายอย่างพวกเรามีชีวิตต่อไปเช่นไร…”
ท่ามกลางความโกลาหลอลหม่านที่เกิดขึ้น ต้วนหล่งเยวี่ยมองดูทัศนียภาพตรงหน้าแล้วคลี่พัดโบกรับสายลมเย็นไปมา ก่อนจะบังเอิญประสานสายตาเข้ากับดวงตาดำขลับเป็นประกายคู่หนึ่ง สายตาของจินเฟิ่งไม่มีแม้แต่ความตระหนกตกใจ
ต้วนหล่งเยวี่ยเลิกคิ้ว “อัครมเหสี มีอันใดจะสอนสั่งกระหม่อมกระนั้นหรือ”
จินเฟิ่งมองดูเขาอยู่ครู่ใหญ่ ก่อนจะเอ่ยปาก “เสด็จอา คงยังมิได้อภิเษกสมรสกระมัง”
ต้วนหล่งเยวี่ยตะลึง นานมากแล้วที่ไม่มีผู้คนในวังให้ความสนใจเรื่องความสุขชั่วชีวิตของเขา “แล้วเช่นไร”
“ท่านแม่ของหม่อมฉันบอกว่า บุรุษผู้อ้างว้างล้วนจิตใจร้อนรุ่ม”
“…”
ต้วนหล่งเยวี่ยปรบมือระเบิดเสียงหัวเราะ บุตรีของหลิวเซียไม่ธรรมดาเลยจริงๆ แต่ว่าครั้นเขาประสานสายตาเข้ากับดวงตาเล็กๆ แต่จริงจังของเฮยพั่ง ไม่รู้ทำไมเขาถึงหัวเราะไม่ออก ใบหน้าอ้วนดำของเด็กสาวแฝงไว้ซึ่งประกายแสงรุ่งโรจน์แห่งความฉลาดเฉลียว
หรือว่า…หรือว่าที่เขารู้สึกว่างเปล่าเช่นนี้ ก็ด้วยเพราะยังมิได้แต่งงานจริงอย่างที่นางพูด หล่งเยวี่ยอ๋องลูบคาง ใบหน้าหม่นหมองลงเล็กน้อย
วันนี้เป็นวันแรกของการเข้าห้องบรรทมในพระตำหนักเซียงหลัวของอัครมเหสีอย่างเป็นทางการ
โปรดติดตามตอนต่อไป…