ทดลองอ่าน
ทดลองอ่าน ยอดหญิงเซียนเครื่องหอม บทนำ-บทที่ 1
หมู่บ้านในหุบเขาแห่งนี้มีบ้านคนอยู่สิบกว่าหลังคา เรื่องแปลกใหม่จึงกระจายไปอย่างรวดเร็ว มู่หวั่นชิวเพิ่งจะวางถ้วยข้าวลง เรือนด้านตะวันออกของบ้านหม่าหย่งก็มีคนมากันจนแน่นขนัด
เพราะเป็นบุตรสาวของขุนนางต้องโทษ มู่หวั่นชิวจึงใช้ผมปิดบังใบหน้าครึ่งหนึ่งไว้ นางก้มหน้าลงเล็กน้อย พลางคำนับทักทายทุกคนตามเมียหม่าหย่ง ทุกคนเพียงคิดว่านางขี้อาย จึงดึงตัวนางมาถามโน่นถามนี่ “ข้าแซ่ไป๋ ชื่อไป๋ชิว จะเดินทางไปหาญาติที่เมืองผิงเฉิง แต่ถูกหมีดำไล่ตามจนพลัดกัน” มู่หวั่นชิวทวนคำพูดที่บอกกับหม่าหย่งเมื่อกลางวันนั้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า
นางไม่กล้าพูดชื่อแซ่จริง จึงใช้อักษรไป๋ซึ่งเป็นตัวประกอบของตัวมู่มาเป็นแซ่แทน
หม่าจู้เอ๋อร์อยู่ในห้องครัวคอยหักกิ่งไม้เพื่อต้มน้ำ หลังจากฟังเพื่อนบ้านในเรือนตะวันออกพูดชมกันเซ็งแซ่แล้ว เขาก็หัวเราะแหะๆ
บ้านของหม่าหย่งเป็นเรือนไม้สามห้อง เข้าประตูมาก็เป็นห้องครัว มีห้องตะวันออกและห้องตะวันตกอีกอย่างละห้อง เมียหม่าหย่งเก็บฟูกผ้าฝ้ายลายดอกสีเขียวเข้มบนเตียงในห้องด้านตะวันตก แล้วเปลี่ยนเป็นฟูกนอนที่ยาวเพียงครึ่งหนึ่ง “ในบ้านไม่ค่อยมีใครมา ก็เลยมีฟูกผ้าห่มแค่ไม่กี่ผืน อาชิวก็ทนนอนสักคืนเถิด พรุ่งนี้จะให้อาของเจ้าเอาฟืนในบ้านไปขาย แล้วทำใหม่สักผืน…” เมียหม่าหย่งพูดพลางหอบเอาฟูกผ้าฝ้ายลายดอกเดินไปทางห้องตะวันออก ปากก็เรียกหม่าจู้เอ๋อร์ “จู้จื่อคืนนี้ก็นอนที่ห้องตะวันออกนะ ห้องตะวันตกให้น้องชิวพัก!”
หม่าจู้เอ๋อร์ที่กำลังเขี่ยไฟในห้องครัว เหยียบสะเก็ดไฟจากฟืนอยู่สองสามที แล้วดึงแผ่นเหล็กที่วางอยู่ด้านข้างมาปิดปากเตา จากนั้นจึงหันกลับไปรับฟูกในมือของเมียหม่าหย่งมา ก่อนจะเดินไปส่งให้ที่ห้องตะวันตก
“เจ้าเด็กคนนี้ ทำไมไม่รู้ความแบบนี้…” เมียหม่าหย่งเดินตามมาทางด้านหลัง “ห้องตะวันตกให้น้องสาวเจ้าพัก ”
อย่างไรอาชิวก็เป็นเด็กหญิง มานอนเบียดกับพวกนางสองผัวเมียก็ไม่ค่อยสะดวก เห็นหม่าจู้เอ๋อร์ปูฟูกกลับไปที่เดิมโดยไม่พูดอะไรสักคำแล้ว เมียหม่าหย่งพลันร้อนใจจนหน้าแดงก่ำ คิดจะเข้าไปดึงฟูกลงมา
หม่าจู้เอ๋อร์ปัดมือของมารดาที่ยื่นมา แล้วม้วนฟูกบาง “ข้าจะปูอันนี้”
“เจ้าเด็กคนนี้ มีอะไรพูดดีๆ ก็ได้…” เมียหม่าหย่งจิกตามองเขาแวบหนึ่ง
“ไม่ต้องหรอก ข้าตัวเล็ก ฟูกผืนนั้นก็พอใช้แล้ว” เทียบกับช่วงหลายวันมานี้ที่นางต้องอยู่กลางป่าเขา ยามนี้เมื่อมีที่นอน มีฟูกยาวครึ่งหนึ่งปูไว้ ก็เป็นเหมือนสวรรค์แล้ว เห็นเมียหม่าหย่งยังชักสีหน้า มู่หวั่นชิวจึงรีบอ้าปากยับยั้ง
หม่าจู้เอ๋อร์หันหน้ามามองนางแวบหนึ่ง แต่มิได้พูดอะไร
“ข้านอนพื้นหญ้าจนชินแล้ว ไม่ปูฟูกก็ได้” มู่หวั่นชิวพูดเสริม
หม่าจู้เอ๋อร์หยุดชะงัก แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็วโดยไม่ได้หันมามอง
“เด็กคนนี้…เด็กคนนี้นี่” เมียหม่าหย่งพร่ำบ่น นั่งลงข้างเตียงดึงมืออาชิวมาแล้วพูดว่า “นิสัยดื้อรั้นของเขา ตีอย่างไรก็ไม่ยอมพูด ถ้าเขาชอบปูผืนสั้นนอน อาชิวก็อย่าสนใจเขาเลยนะ”
“พี่จู้จื่อใจดี” อาชิวตาแดงเล็กน้อย
กำลังพูดอยู่ หม่าจู้เอ๋อร์ก็ยกถังไม้ควันระอุเคาะประตูเดินเข้ามา
“นี่เจ้าจะทำอะไรอีก” เมียหม่าหย่งที่กำลังจะลุกขึ้นถามอย่างสงสัย ตอนที่อาชิวมาถึงเพิ่งจะอาบน้ำนี่นา
“ให้น้องสาวแช่เท้า” หม่าจู้เอ๋อร์สองตาจ้องไปบนพื้น เหมือนกับบนพื้นก็คือเท้าของมู่หวั่นชิว “นี่เป็นน้ำจากหญ้าซวินอี* ลบรอยแผลเป็นได้”
“แช่เท้า?” เมียหม่าหย่งตะลึงไป ก่อนจะหันมามองเท้าของมู่หวั่นชิว “เท้าของอาชิวเป็นอะไร”
มู่หวั่นชิวรีบซ่อนเท้าไว้ใต้ฟูกอย่างรวดเร็ว
“เจ้าออกไปก่อน” เห็นอีกฝ่ายไม่ยอมยื่นเท้าออกมา เมียหม่าหย่งก็หันไปบอกให้หม่าจู้เอ๋อร์ออกไปก่อน แล้วดึงขาของนางออกมา “จุ…จุ เด็กคนนี้ ทำไมถึงได้บาดเจ็บแบบนี้ กางเกงของจู้จื่อที่เจ้าใส่ก็ยาวเกินจนปิดเอาไว้ พูดกันมาทั้งคืนข้าถึงมองไม่เห็น”
เห็นใต้ฝ่าเท้าขาวนุ่มนิ่มสองข้างของมู่หวั่นชิวเต็มไปด้วยตุ่มน้ำและแผล แม้แต่ท้องน่องก็มีบาดแผลเขียวคล้ำแดงคล้ำอยู่ไม่น้อย เมียหม่าหย่งพูดบ่นขึ้นมา “เด็กคนนี้ช่างลำบากเหลือเกิน” พลันหันหน้าตะโกนออกไปนอกประตู “พ่อตาหนู! เจ้าไปดูที่บ้านหลี่หม่าจื่อทางหัวมุมตะวันออกของหมู่บ้านทีว่ามียาสมานแผลหรือไม่ แล้วซื้อกลับมาสักหน่อย…”
หลี่หม่าจื่อเป็นท่านหมอเพียงคนเดียวในสิบกว่าหลังคาเรือนของหมู่บ้าน
“ตอนที่ถูกหมีดำไล่ตาม รองเท้าข้าหลุดไปข้างหนึ่ง เลยถูกกิ่งไม้เกี่ยวเอา ข้าไม่เจ็บหรอกอาหญิง” คนที่มีความละเอียดแค่มองก็จะพบว่าตุ่มน้ำเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นมาในวันเดียวกัน เมื่อคิดว่านางเป็นนักโทษหนีคดี มู่หวั่นชิวไม่กล้าให้ใครรู้ นางจึงระวังตัวอยู่ตลอด กลับคิดไม่ถึงว่าจะถูกหม่าจู้เอ๋อร์ที่ดูเหมือนทึ่มๆ เห็นเข้า “ใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ท่านอย่าให้ท่านอาออกไปอีกเลย”
“ขาบาดเจ็บขนาดนี้ จะไม่เจ็บได้หรือ” เมียหม่าหย่งคว้าเท้าของมู่หวั่นชิวมาแช่ลงในน้ำหญ้าซวินอี “ให้อาของเจ้าไป เจ้าไม่ต้องสนใจ…”
“ไม่เจ็บ จริงๆ นะ…” เห็นเมียหม่าหย่งถลึงตาให้ มู่หวั่นชิวจึงเม้มปากแน่น
เทียบกับชาติก่อนแล้ว สิ่งนี้ไม่นับว่าหนักหนาอะไร
ชาติก่อนยามที่นางถูกขายเข้าหอคณิกา แล้วไม่ยินยอมที่จะรับแขก นางก็ได้รับความลำบากไม่น้อย แม่เล้าในหอชุนเซียงเคยเปลื้องผ้านาง แล้วโยนไปบนแผ่นกระดานเหล็กร้อนๆ ตอนเหยียบลงไปเท้าก็พอง ยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง อีกข้างก็ถูกนาบ นางได้แต่กระโดด จนกระทั่งทนไม่ไหวจำต้องร้องขอชีวิต ตอนที่ถูกปล่อยตัวออกมา ใต้ฝ่าเท้าทั้งคู่ก็ถูกนาบจนเละไปหมดแล้ว
ความเจ็บปวดทะลวงใจเช่นนั้น หลังจากนั้นอีกหลายปี ทุกครั้งที่นึกถึง ก็ยังรู้สึกหนาวสะท้านขึ้นมา
ตอนนี้มีตุ่มน้ำแค่ไม่กี่อัน ที่สำคัญก็คือ แม้นางจะลำบาก แต่ก็มีฐานะที่บริสุทธิ์ ชาติก่อนเพราะถูกบีบเข้าไปในกลุ่มคนชั้นต่ำ แม้จะมีชุดงาม อาหารรสเลิศเพียงใด แต่ยังคงโดนคนด่าทอหัวเราะเยาะ ตัวนางกลับทำอะไรไม่ได้สักนิด แม้ว่าภายหลังจะได้ไถ่ตัวออกมา และรักษาเรือนร่างเพื่อเขาแล้ว แต่ยังคงมิอาจหลุดพ้นชื่อไม่ดีว่าเป็นนางคณิกา ติดตามเขาไปอีกนานหลายปี ก็ไม่มีแม้แต่ฐานะที่ชัดเจน
‘ลูกสาวอัครเสนาบดีเลว นางโลมในหอคณิกา คู่ควรแล้วหรือ!’
คิดถึงคำพูดไร้ไมตรีของเขาแล้ว ความเคียดแค้นก็ทะลักล้นขึ้นมาในใจ มู่หวั่นชิวขบฟันแน่น ไม่ยอมให้น้ำตาที่เอ่อในดวงตาได้ไหลลงมา
ชาตินี้ไม่ว่าจะยากลำบากเพียงใด นางจะต้องมีชีวิตเหมือนคนทั่วไปให้ได้!
* มาจากบทประพันธ์ ‘คำนึงแดนสวรรค์’ ของเหวยจวง (ประมาณ ค.ศ. 836-910) กวีสมัยราชวงศ์ถัง
* ชุ่น เป็นหน่วยมาตราวัดของจีนสมัยโบราณ เทียบความยาวประมาณ 1 นิ้ว ระยะ 10 ชุ่นเป็น 1 ฉื่อ (เชียะ)
** ฉื่อ (เชียะ) เป็นหน่วยวัดความยาวของจีน สมัยโบราณเทียบระยะประมาณ 10 นิ้ว หรือหนึ่งส่วนสามเมตร ปัจจุบันยังใช้คำนี้ในความหมายว่า ‘ฟุต’
* ตัวฮวน (Meles meles) หรือแบดเจอร์ยุโรป เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่กินเนื้อ อยู่ในวงศ์เพียงพอน
** เค่อ หน่วยนับเวลาของจีนที่มีมาตั้งแต่ในสมัยโบราณ เทียบเวลาประมาณ 15 นาที
* หญ้าซวินอี หมายถึงลาเวนเดอร์