ฉีซู่ตื่นตระหนกตกใจเล็กน้อย “หม่อมฉันมิกล้า” นางชะงักนิ่งไป แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว “หม่อม…หม่อมฉันเป็นเพียงบ่าว” ฉีซู่ไม่โง่ ย่อมมองออกว่าฮ่องเต้และฮองเฮาทรงดีต่อนางเป็นพิเศษ ตนเป็นเพียงนางกำนัลธรรมดาคนหนึ่ง ความโปรดปรานเช่นนี้นางจะแบกรับอย่างไรไหว
ฮองเฮาทรงรั้งตัวนางเข้ามากอด “ฝ่าบาทกับข้าไม่เคยเห็นเจ้าเป็นบ่าว”
ฉีซู่ซุกตัวอยู่ในอ้อมอกฮองเฮา พระวรกายของฮองเฮามีกลิ่นหอมอ่อนๆ ทำให้ฉีซู่คิดถึงมารดาของตน ไม่รู้ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง ใช่กำลังคิดถึงนางอยู่หรือไม่
“ข้าเคยมีลูกชายสองคน…” เสียงของฮองเฮาดังขึ้นเบาๆ อยู่เหนือศีรษะ “แต่ไม่เคยมีลูกสาวเลยสักคน”
ฉีซู่ไม่รู้ควรพูดอะไรหรือไม่ ยิ่งไม่รู้ควรพูดอะไรดี ได้แต่นิ่งฟังฮองเฮาตรัสต่อไปเงียบๆ
“แต่ลูกชายคนโตของข้า…” ในน้ำเสียงของฮองเฮามีความเศร้ารันทดใจอย่างลึกล้ำ “ข้าไม่มีวันได้เห็นเขาอีกแล้ว…”
ฉีซู่เคยได้ยินคนในวังพูดถึง ก่อนหน้ารัชทายาทหลี่เฉิงเพ่ย ฮ่องเต้กับฮองเฮาเคยมีพระโอรสองค์หนึ่ง ตอนนั้นฮ่องเต้ยังประทับอยู่วังตะวันออก เนื่องจากเป็นพระโอรสองค์โตของรัชทายาท ดังนั้นจึงไม่เพียงได้รับความรักและทะนุถนอมจากพระบิดาพระมารดา อดีตฮ่องเต้ที่ยังทรงครองราชย์อยู่ก็ทรงให้ความสำคัญอย่างมาก พอประสูติมาก็ได้รับแต่งตั้งเป็นหวงไท่ซุน*
หวงไท่ซุนมีนามว่าหลี่เฉิงเฟิง เชี่ยวชาญการขี่ม้ายิงธนู อดีตฮ่องเต้เห็นว่าเขาเก่งกล้าองอาจห้าวหาญ จึงมักให้เขาอยู่ข้างพระวรกายเสมอ กระทั่งรัชศกเจาอู่ปีที่ยี่สิบสาม เสด็จนำทัพไปทางตะวันตกครั้งที่สองก็พาเขาไปด้วย ใครเลยจะคาดคิดการศึกที่แม่น้ำสืออดีตฮ่องเต้จะประสบภัย เพื่อช่วยเสด็จปู่ หวงไท่ซุนถึงกับต่อสู้จนตัวตายในสนามรบ ปีนั้นเขาเพิ่งอายุเพียงสิบห้าปี
เรื่องนี้ทำให้รัชทายาทและพระชายา หรือก็คือฮ่องเต้และฮองเฮาองค์ปัจจุบันเศร้าโศกเสียใจอย่างที่สุด เวลาผ่านมาจนถึงวันนี้ ในวังก็ยังไม่มีใครกล้าเอ่ยถึงพระโอรสองค์โตที่สิ้นพระชนม์แต่ยังเยาว์วัยต่อหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้และฮองเฮา ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ฮองเฮาก็เริ่มถือศีลกินเจ สวดมนต์คัดลอกพระคัมภีร์ อธิษฐานภาวนาให้พระโอรสองค์โตไปสู่สุคติในเร็ววัน
ฉีซู่นึกถึงสีหน้าที่อ่อนโยนและเศร้าสร้อยของฮองเฮายามคัดลอกพระคัมภีร์ศาสนาพุทธ อีกทั้งยามที่ทรงเอาม้วนคัมภีร์ที่คัดลอกเสร็จแล้วไปวางสักการะหน้าพระพุทธรูป ท่องบทสวดมนต์เสียงต่ำด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในยามนั้นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในใต้หล้าก็เป็นเพียงมารดาคนหนึ่งเท่านั้น ฉีซู่เข้าใจในความเจ็บปวดอาดูรของนาง และเข้าใจดีว่าเพราะอะไรนางจึงรักและทะนุถนอมรัชทายาทเช่นนั้น
หลังจากหลี่เฉิงเพ่ยได้รับแต่งตั้งขึ้นเป็นรัชทายาท ก็ย้ายไปอยู่ตำหนักเซ่าหยาง วังตะวันออกตามราชประเพณี แต่เพราะฮองเฮาทรงไม่อาจตัดใจ เวลาส่วนใหญ่รัชทายาทจึงยังคงเข้าออกตำหนักฮองเฮา ฉีซู่จึงได้เห็นรัชทายาทแทบทุกวัน
รัชทายาทเป็นเด็กหน้าตาสะสวยที่สุดที่ฉีซู่เคยเห็นมา และน่าจะเป็นเด็กที่ได้รับการตามใจมากที่สุดด้วย เด็กชาวฮั่นในเมืองเจิ้นโจว ไม่ว่าหญิงหรือชาย พออายุได้แปดเก้าขวบก็ต้องช่วยครอบครัวทำงาน เด็กชายบ้างก็ช่วยทำไร่ไถนา บ้างก็ติดตามบิดาติดตามพี่ชายออกทะเลหาปลา เด็กหญิงก็ต้องหัดหุงหาอาหารปะชุนเสื้อผ้า แม้แต่บุตรชายหลายคนของท่านลุงที่อยู่ในเมืองหลวง ตั้งแต่อายุหกขวบก็ต้องเรียนหนังสือไปฝึกฝนขี่ม้ายิงธนูไปด้วย บุตรสาวนอกจากเชิญอาจารย์หญิงมาอบรมกิริยามารยาทของสตรี ยังต้องหัดเย็บปักถักร้อย ทำเครื่องหอม แต่รัชทายาทกลับต่างออกไป แม้ฝ่าบาทจะเชิญผู้มีวิชาความรู้มาให้ความสว่างด้านสติปัญญาแก่รัชทายาท แต่รัชทายาทกลับไม่ค่อยใส่ใจเรื่องการเล่าเรียนสักเท่าไร วันๆ เอาแต่เล่นสนุกกับเหล่าข้าราชบริพาร
* หวงไท่ซุน คือตำแหน่งพระราชนัดดาที่สามารถขึ้นสืบทอดราชบัลลังก์ได้
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา