คำว่า ‘ขวัญกล้า’ สองคำสุดท้ายยังไม่ทันพูดจบ เขาก็คลายโทสะ แม้จะไม่พอใจ แต่เขาก็จำที่พระมารดาสั่งกำชับไว้ได้ว่าห้ามข่มเหงรังแกฉีซู่เด็ดขาด แม้เขาอยากด่าว่าแต่ก็ไม่มีความมั่นใจมากพอ จึงก้มหน้าลงมองฉีซู่ที่กำลังประคองม้วนอักษรขึ้นมา สองมือสั่นระริก หยาดน้ำตายิ่งไหลพรากและร่วงเผาะๆ
หลี่เฉิงเพ่ยอดลนลานขึ้นมาไม่ได้ “เจ้าเป็นอะไรไป ข้า ข้า…ข้าไม่ได้ทำอะไรเจ้า เจ้า เจ้า…ต่อให้เจ้าไปฟ้องพระมารดา ข้า…ข้าก็ไม่ยอมรับอะไรทั้งนั้น”
ฉีซู่ร้องไห้ไปพลางพูดไปพลาง “นี่เป็นแบบคัดลายมือที่ท่านพ่อของหม่อมฉันมอบให้หม่อมฉัน”
ม้วนอักษรม้วนนี้เป็นของหานหล่าง ตอนฉีซู่เพิ่งเริ่มฝึกคัดลายมือ หานหล่างได้เขียนตัวอักษรไว้กว่าหนึ่งพันตัว ให้บุตรสาวใช้ลอกแบบคัดตัวอักษร ตัวอักษรของหานหล่างมีท่วงทำนองเป็นของตนเอง ตอนนั้นอยู่ในเมืองหลวงก็มีชื่อเสียงโด่งดังว่าเป็นตัวอักษรที่งามสง่าเลิศล้ำ เรียกได้ว่าหาได้ยากยิ่ง สำหรับฉีซู่แล้ว ตัวอักษรม้วนนี้เป็นสิ่งล้ำค่าที่บิดาทิ้งไว้ให้ เมื่อเห็นแบบคัดลายมือสมบัติล้ำค่าของตนถูกหลี่เฉิงเพ่ยทำเสียหาย ฉีซู่ย่อมปวดใจเป็นที่สุด
หลี่เฉิงเพ่ยไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ พอได้ยินว่าเป็นเพียงแบบคัดลายมือก็ไม่ใส่ใจ “ไม่ต้องร้องไห้ ไม่ต้องร้องไห้แล้ว ก็แค่ม้วนอักษร ให้พ่อของเจ้าเขียนให้ใหม่ก็แล้วกัน”
ฉีซู่ยิ่งร้องไห้เสียใจหนัก “ท่านพ่อของหม่อมฉัน…ไม่อยู่แล้ว…”
หลี่เฉิงเพ่ยเกาศีรษะ “เช่นนั้น…พรุ่งนี้ข้าจะเอาตัวอักษรที่พระบิดาของข้าเขียนมาชดใช้ให้เจ้า ได้กระมัง นั่นเป็นตัวอักษรที่ฮ่องเต้เขียนเชียวนะ ดีกว่าของเจ้าร้อยเท่า”
“หม่อม…หม่อมฉันไม่ต้องการ” ฉีซู่ร้องไห้สะอึกสะอื้น “หม่อมฉันเพียงต้องการของท่านพ่อเท่านั้น”
หลี่เฉิงเพ่ยแต่ไรมาก็เป็นคนเอาแต่ใจ ยากนักที่จะยอมอ่อนข้อให้เช่นนี้ ฉีซู่กลับไม่รู้จักดูทิศทางลม เขาเริ่มจะโมโหแล้ว “เจ้า…โธ่เอ๊ย เจ้านี่น่ารำคาญเสียจริง!” เขากระทืบเท้า ไม่อยากสนใจนางกำนัลที่ไม่รู้จักดีชั่วผู้นี้แล้ว แต่เพิ่งเดินไปถึงหน้าประตู เขาก็เดินย้อนกลับมาอีก พูดอย่างเสียหน้าเล็กน้อย “เอ่อ เจ้าเอาแบบคัดลายมืออะไรนั่นให้ข้า ข้าจะไปคิดหาหนทาง ดูว่าจะชดเชยให้เจ้าได้หรือไม่”
ฉีซู่เงยหน้าขึ้น มองเขาด้วยน้ำตานองหน้า “จริงหรือ”
“ก็ต้องจริงสิ!” หลี่เฉิงเพ่ยบอกอย่างวางท่าใหญ่โต “ข้าเป็นรัชทายาท ผู้จะเป็นฮ่องเต้ในภายภาคหน้า กษัตริย์ตรัสแล้วไม่คืนคำ รู้หรือไม่”
เสียงร้องไห้ของฉีซู่ค่อยๆ เงียบลง นางเอาแบบคัดลายมือสองท่อนนั้นส่งให้หลี่เฉิงเพ่ยด้วยท่าทีกึ่งเชื่อกึ่งสงสัย หลี่เฉิงเพ่ยรับมาแล้วก็เดินออกไป พอพ้นประตูจู่ๆ เขาก็หันกลับมาพูดกับฉีซู่ด้วยท่าทีจริงจัง “เจ้าไม่อาจบอกเรื่องนี้กับพระบิดาพระมารดาของข้า ถ้าข้าถูกทำโทษ ข้าก็จะไม่ชดใช้ให้เจ้าแล้ว”
หลี่เฉิงเพ่ยไม่กล้าเอาม้วนอักษรติดตัวไปเข้าเฝ้าฮ่องเต้ฮองเฮา จึงเดินถือกลับไปวังตะวันออกด้วยหน้านิ่วคิ้วขมวด เขาเพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ คนในวังก็มารายงานว่าหัวหน้าหร่านขอเข้าเฝ้า
รัชทายาทถูกตามใจจนเคยตัว ฮ่องเต้ไม่ใช่ไม่ทรงสังเกตเห็น ด้วยเหตุนี้จึงทรงให้หร่านซวิ่น หัวหน้าสำนักราชเลขาธิการรับตำแหน่งที่ปรึกษาในองค์รัชทายาทอีกตำแหน่งหนึ่ง ที่ปรึกษาทำหน้าที่คอยดูแลช่วยเหลือ ตักเตือนให้ความสว่างทางสติปัญญา หร่านซวิ่นความรู้ความสามารถเหนือผู้อื่น ทั้งทำงานควบสองตำแหน่งมาหลายปี ได้รับความเชื่อถือและเลื่อมใสจากผู้คน ที่ทำเช่นนี้ย่อมเพื่อให้เขาช่วยแนะนำจูงใจให้รัชทายาทสนใจร่ำเรียน เพียงแต่หลี่เฉิงเพ่ยติว่าหร่านซวิ่นที่มาจากบัณฑิตจิ้นซื่อ* เป็นพวกหัวโบราณคร่ำครึ ทั้งแอบเรียกเขาลับหลังว่า ‘ชั่วต้า’** ส่วนหร่านซวิ่นหลังจากเข้ารับตำแหน่งที่ปรึกษา ทุกครั้งที่เข้าเฝ้ารัชทายาทก็จะต้องมีเรื่องมาแนะนำตักเตือน ยิ่งทำให้หลี่เฉิงเพ่ยอยากจะหลบลี้หนีหน้า
* จิ้นซื่อ เป็นคำเรียกบัณฑิตที่สอบรับราชการผ่านในระดับประเทศ
** ชั่วต้า เป็นคำศัพท์สมัยราชวงศ์ถัง หมายถึงปัญญาชนที่ยากจนคร่ำครึ
หมูกระต่าย
พฤศจิกายน 2, 2017 at 4:17 PM
อยากอ่านแล้วค่าาาา รอนะค้าาา