เขาหยุดเดิน ก้มหน้าขมวดคิ้วจ้องนางเขม็ง
“เพื่อป้องกันโรคระบาดแพร่กระจาย เวลาเข้าออกที่นี่ทุกครั้งต้องล้างมือ” นางเตือนเขา “ครั้งก่อนข้าบอกท่านไปแล้ว”
นางเคยบอก
ชายหนุ่มเดินไปล้างมือที่ข้างประตูและหันกลับมาอีกครั้ง
นางคิดว่าเขาจะพูดอะไร แต่สุดท้ายเขากลับไม่ได้พูดอะไรเลย เพียงแต่เลื่อนสายตาลงไปข้างล่างจับจ้องสองมือของนางที่ประสานกันแน่น เพราะเหตุนี้เองเคลถึงพบว่าตัวเองยังคงประสานมือไว้ด้วยกันแน่น มือทั้งสองที่ซีดขาวเปิดเผยความประหม่าที่นางพยายามปกปิดไว้
หัวใจเต้นรัวขึ้นทันที
นางคลายมือออกทันใด แต่ไม่ทันแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขาเห็นแล้ว
“เจ้าไม่ต้องกลัว”
เขาถอนสายตากลับมาที่ใบหน้านาง เสียงทุ้มพร่าแผ่วเบาดังขึ้น
หญิงสาวบังคับให้ตัวเองจ้องเขากลับ อดพูดไม่ได้ว่า “คนโง่เท่านั้นแหละที่จะไม่กลัว”
เขาจับจ้องนางและกระตุกมุมปากยิ้มโดยไม่มีเสียง พยักหน้าก่อนจะเปิดประตูก้าวออกไป
เทศกาลอีสเตอร์ผ่านมาและผ่านไป
เทศกาลที่เดิมทีเป็นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง ในวันเวลาแห่งความยากลำบากเช่นนี้กลับไม่ได้รับความสนใจมากนัก ชายหนุ่มยืนอยู่ในทุ่งนาพลางหว่านเมล็ดพันธุ์กำสุดท้ายออกไป
เอวของเขาปวดมาก หลังก็เจ็บมาก เวลาผ่านมาหลายปี เขาเกือบลืมไปแล้วว่าการปลูกข้าวในทุ่งนาลำบากเพียงใด หลายวันมานี้เขาพาเด็กหนุ่มในปราสาทออกมาจัดการกับพื้นที่เกษตรกรรมใกล้ๆ แต่ดูเหมือนพื้นที่ที่ต้องจัดการจะกว้างขวางไร้ขอบเขต
ในหมู่บ้านเหลือผู้ชายอยู่ไม่กี่คน เขารู้ว่าตัวเองสามารถสั่งคนเหล่านั้นมาช่วยทำนาได้ ทว่าแม้แต่ผู้ดูแลที่คอยช่วยเขารวบรวมกำลังของชาวบ้านก็ตายไปเมื่อสองเดือนก่อนแล้ว
ดังนั้นเขาจึงได้แต่ไปตีฆ้องเอง แต่ผ่านไปครึ่งวัน ในลานของหมู่บ้านกลับมีผู้ชายออกมารวมตัวกันอย่างเชื่องช้าแค่สามคนเท่านั้น
“ต้องขออภัยด้วยขอรับนายท่าน คนในหมู่บ้านส่วนใหญ่ป่วยตายไปหมดแล้ว”
ชายคนหนึ่งที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดเคราพูดเสียงแหบอย่างเหนื่อยล้า
สามคนดีกว่าไม่มีเลย
เขามองผู้ชายสามคนนั้น รู้ว่ามีคนแอบดูอยู่ในบ้านมากกว่านี้
เขาจึงอ้าปากพูดด้วยระดับเสียงที่ดังเกินความจำเป็นสำหรับสามคนฟัง “ข้าเชื่อว่าพวกเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใคร ข้ามีเมล็ดพันธุ์ ข้าต้องการคนช่วยหว่านเมล็ด ทุกคนที่มาไถนาและปรับหน้าดินที่นี่จะได้รับโจ๊กข้าวโอ๊ตหนึ่งชามทุกวัน หลังเก็บเกี่ยวแล้วข้ายังจะแบ่งเมล็ดพันธุ์ให้พวกเจ้าตามความต้องการด้วย”