ดวงอาทิตย์เจิดจ้าสดใส แต่ว่าลมหนาวยังไม่หายไปไหน ยามเมื่ออยู่ใต้แสงแดด เพิ่งจะซึมซับไออุ่นไว้บนร่าง ก็จะถูกลมหนาวเย็นยะเยือกพัดหายไปหมดสิ้น
ลู่อู๋เซิงยืนอยู่หน้าประตูบ้าน ได้ยินเสียงอาฉางสบถด่าเบาๆ ว่า “นับวันดูจะเหลวไหลขึ้นทุกทีแล้ว” จากนั้นก็เห็นเขาวิ่งไปเร่งคนที่คอกม้า
ผ่านไปชั่วอึดใจ ลู่อู๋เซิงก็มองเห็นพื้นของตรอกฝั่งตรงข้ามสะท้อนเงาร่างใครคนหนึ่ง แขนเสื้อปลิวไสวตามแรงลม เนื่องจากแสงแดดที่ส่องลงมาลาดเอียง ทำให้เงาร่างนั้นดูคล้ายท่อนไม้อ้วนป้อมท่อนหนึ่ง
แต่ต่อให้เงาร่างนั้นจะอ้วนอย่างไร ในสายตาของเขาก็ยังเป็นเงาร่างที่งดงามอยู่ดี
เขาจดจ้องอยู่พักใหญ่ ใคร่ครวญอยู่ว่าหากเขาเดินตรงไปหานางตรงๆ เช่นนี้ นางจะรู้สึกอึดอัดใจหรือไม่ พอคิดๆ ดูแล้วก็ยังรู้สึกอยากพบนางอยู่ดี
เมื่อคิดดีแล้ว เขาก็ย่างเท้าเดินตรงไป
จนกระทั่งเหลือระยะห่างจากเงาร่างนั้นอีกแค่สี่ถึงห้าก้าว จู่ๆ ก็มีศีรษะโผล่ออกมาจากหลังกำแพงผมเปียสองข้างร่วงหล่นลงมาแนบอยู่ข้างใบหน้าซึ่งประณีตงดงามราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบแสนสวยตัวหนึ่ง
เขาชะงักฝีเท้าแล้วมองนางอย่างเงียบงัน
ชั่วขณะที่อวิ๋นจ้าวเห็นหน้าเขา หัวใจก็กระดอนขึ้นมาถึงคอหอย…ลู่อู๋เซิงที่ยังมีชีวิตอยู่ตรงหน้านางนี่เอง
แต่เพียงพริบตาเดียวนี้เอง ภาพลู่อู๋เซิงที่มีเลือดอาบท่วมร่าง ลู่อู๋เซิงที่รับมือศัตรูด้วยกำลังหนึ่งต่อยี่สิบ ยอมสู้จนตัวตายก็ไม่คิดทิ้งนางหนีไป วนเวียนอยู่ในสมองนางอย่างรวดเร็วราวกับโคมไฟหมุนติ้ว
“ลู่อู๋เซิง…” อวิ๋นจ้าวเรียกชื่อเขาคำหนึ่ง สมควรตายนัก นางอยากร้องไห้อีกแล้ว อวิ๋นจ้าวพบว่าหลังจากตนเองย้อนเวลากลับมาก็กลายเป็นคนขี้แยไปเสียแล้ว
ยิ่งเข้าใจเขาลึกซึ้งเท่าไร อวิ๋นจ้าวก็ยิ่งรู้สึกว่านางติดค้างเขามากขึ้นเท่านั้น
เหตุผลที่สวรรค์ยอมให้นางกลับมาก็เพื่อชดเชยความสูญเสียที่ไม่อาจหวนคืนระหว่างพวกเขาสองคน
ในช่วงสิบปีนั้น นางได้ยินเรื่องราวของลู่อู๋เซิงซึ่งอยู่ที่นอกด่านโดยตั้งใจและไม่ตั้งใจ ความสามารถของเขาเพียบพร้อมทั้งบุ๋นและบู๊ เชี่ยวชาญกลยุทธ์การศึก สังหารศัตรูสร้างผลงาน ทุกเรื่องราวได้รับการกล่าวขานจนกลายเป็นตำนาน
แม้จะจากกันไปเป็นสิบปี แต่นางกลับใส่ใจเรื่องราวของเขามาโดยตลอด ต่อให้เหินห่างกันนานถึงเพียงนั้น นางก็ไม่เคยลืมเขาได้เลย
ลู่อู๋เซิงเห็นดวงตานางแดงเรื่อราวกับจะหลั่งน้ำตาก็เดินขึ้นหน้ามาอีกสามก้าว กั้นนางไว้กับกำแพง
อวิ๋นจ้าวลูบจมูกตนเอง กะพริบตาปริบๆ แล้วเอ่ยว่า “ลู่อู๋เซิง”
“หืม?”
อวิ๋นจ้าวกะพริบตาปริบๆ แล้วช้อนสายตาขึ้นมองเขา “ข้าชอบท่าน”
“…” ลู่อู๋เซิงรู้สึกลมหายใจติดขัดเพราะนางเข้าแล้ว ใบหน้าคมคายขาวสะอาดถูกอาบย้อมเป็นสีแดงก่ำ
อวิ๋นจ้าวเห็นเขาทำอะไรไม่ถูกก็รู้สึกขบขันจนหัวเราะเสียงดัง โดยไม่รู้ตัวเลยว่าใบหน้านางก็เป็นสีแดงเข้มไปหมดแล้ว นางเขย่งเท้าแล้วกล่าวต่อ “ข้าจริงจังนะ”
ด้วยกลัวเขาจะตกใจจนหนีไป นางจึงคว้าแขนเสื้อเขาเอาไว้ ความขบขันในน้ำเสียงก็จางลงไปมาก “ลู่อู๋เซิง ข้าขอโทษ หากข้าไม่เอาแต่ใจถึงเพียงนั้น ก็คงไม่เกิดเรื่องขึ้นหรอก”