ทดลองอ่าน
ทดลองอ่านนิยาย มเหสีป่วนรัก เล่ม 1 บทที่ 1 – บทที่ 2
ฮูหยินใหญ่เหมือนมีอะไรจะพูด แต่นางกลับเลือกที่จะหยุดเพียงแค่นั้น
หน้าตาของจินเฟิ่งมิได้จัดว่าอัปลักษณ์ แต่แค่เพียงเรื่องผิวดำและอวบอ้วนสองประการก็มากพอที่จะตัดนางออกจากคำว่าสะสวย งดงาม หรือแม้แต่คำว่าอยู่ในเกณฑ์พื้นฐานได้แล้ว แม้นางจะรู้อยู่ก่อนว่าจินเฟิ่งมิได้หน้าตางดงามหมดจดและได้เตรียมใจไว้อยู่ก่อนหน้าแล้ว แต่ครั้นได้เห็นเองกับตา นางก็ยังไม่วายตกใจ
“ท่านพี่เป็นบุรุษ น่าจะเข้าใจดีว่ารูปโฉมโนมพรรณนั้นมีความหมายต่อสตรีมากมายเพียงใด สถานที่เช่นวังหลวง แม้แต่โฉมสะคราญหน้าตางดงามหมดจดก็ยังยากที่จะอยู่ แล้วจินเฟิ่ง…”
หลิวเซียยิ่งรู้สึกประหลาดใจหนักขึ้นไปอีก ฮูหยินใหญ่แต่ไหนแต่ไรก็ล้วนพูดจาเพียงผ่านๆ เท่านั้น การที่นางหยิบยกเอาเรื่องนี้ขึ้นพูดไม่เพียงเกิดขึ้นได้ยากยิ่ง หนำซ้ำยังพูดเสียยาวเหยียดเพื่อโน้มน้าวเขาอีก
แต่ด้วยเพราะเป็นคนเจ้าความคิด ดังนั้นหลิวเซียจึงโบกมือพลางพูด “ข้าเพียงแค่ให้จินเฟิ่งเข้าไปจับจองตำแหน่งนี้ไว้เท่านั้น เช่นนี้ถึงจะเป็นประโยชน์ต่อตระกูลหลิวเรา ส่วนเรื่องที่นางจะสามารถเอาตัวรอดในวังหลวงได้หรือไม่นั้น เจ้าไม่จำเป็นต้องวิตกกังวล ขอเพียงข้าหลิวเซียยังอยู่ บุตรีของข้าย่อมเป็นอัครมเหสีที่มิอาจมีผู้ใดแทนที่ได้”
ฮูหยินใหญ่มองดูผู้เป็นสามีเงียบๆ นางรู้ดีว่าหลิวเซียไม่ได้เห็นจินเฟิ่งเป็นลูกสาวจริงๆ
“เช่นนั้นหากทางพระพันปีทรงเห็นแย้ง…”
“เรื่องนี้ง่ายดายยิ่งกว่าสิ่งใด ข้าก็จะยืนยันว่ามันต้องเป็นเช่นนี้…”
ในเวลาเดียวกัน จินเฟิ่งก็นอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มแสนสบายบนเตียงเล็กๆ ภายในเรือนว่อเหมย นางหลับใหลไม่รู้เรื่องราวจวบจนท้องฟ้าเปลี่ยนสี
ชื่อเรือนว่อเหมย* ได้มาจากบทหนึ่งของ ‘ลำนำเหตุงดงาม’ ความว่า ‘ยามเมามายหลับใหลใต้เงาเหมย ผู้ใดเล่าเคยคุ้นรู้จักกัน’
จินเฟิ่งอยู่ในความฝัน นางฝันเห็นเด็กสาวยิ้มเบิกบานตามอำเภอใจอยู่ใต้เงาดอกเหมย แม้ไม่มีผู้คนรู้จัก แต่ก็สุขสำราญราวกับลมวสันต์
เช้าวันที่สอง หลังไปกล่าวทักทายฮูหยินใหญ่เสร็จ จินเฟิ่งก็ไปพบฮูหยินทั้งหกที่เหลือ ฮูหยินรอง ฮูหยินสาม ฮูหยินสี่นางล้วนพบหน้าแล้วเมื่อวาน จึงไม่มีอะไรให้พูดถึงอีก ส่วนฮูหยินห้า หก เจ็ดกลับทำให้จินเฟิ่งได้เปิดหูเปิดตาครั้งใหญ่
เสื้อผ้าอาภรณ์ของฮูหยินรอง ฮูหยินสาม ฮูหยินสี่นับว่าประณีตงดงามยิ่ง แต่เมื่อเทียบกับฮูหยินที่เหลือแล้วอาภรณ์ของพวกนางกลับเป็นเพียงอาภรณ์เรียบง่ายธรรมดาๆ เท่านั้น ฮูหยินห้าผู้นี้หน้าตาสะสวยงดงามเป็นที่สุด ดังนั้นนางจึงให้ความสำคัญกับการแต่งกายมากเป็นพิเศษ เครื่องประดับทรงผมล้วนวิจิตรตระการตา ทั้งร่างประหนึ่งหยกสมปรารถนาที่ประดับด้วยอัญมณีล้ำค่า อาบอิ่มด้วยกลิ่นอายแห่งโชคลาภ
ฮูหยินห้าไม่เพียงรูปโฉมงดงาม หากแต่นิสัยก็ดียิ่งนัก นางรู้ดีว่าตนเองมีความรู้ไม่มาก ดังนั้นจึงปฏิบัติตนต่อผู้อื่นด้วยความกระตือรือร้น บุตรชายที่นางเลี้ยงดูด้วยตนเองก็ราวสลักมาจากหยกเจียระไนชั้นเลิศ น่ารักน่าทะนุถนอมยิ่ง
ฮูหยินหกกลับเป็นพวกไม่ชอบข้องแวะกับเรื่องราวทางโลก วันๆ สนใจก็แต่ปลูกต้นหลิวเพาะดอกบัว อีกทั้งร่างกายอ่อนแอ โศกเศร้าอยู่เป็นนิจ ไม่ชอบพบเจอผู้คน ตอนจินเฟิ่งไปเข้าพบ ฮูหยินหกมองดูนางปราดหนึ่ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาช้าๆ แผ่วเบาแล้วรำพึงว่า “โฉมสะคราญชะตาอาภัพ” จินเฟิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ฮูหยินหกกลับเอนหลังอ่อนระทวยพิงเข้ากับพนักเก้าอี้ มือลูบอยู่บนอกเบาๆ ไม่พูดไม่จาอันใดอีก
ฮูหยินเจ็ดอายุเพียงสิบเก้า นางเข้าจวนมาได้ไม่ถึงสองปี มีบุตรชายหนึ่งคนอายุเพิ่งครบขวบได้ไม่นาน แม้รูปโฉมของฮูหยินเจ็ดจะสู้ฮูหยินห้ามิได้ ความรู้ความสามารถก็ไม่อาจเทียบเทียมฮูหยินหก สติปัญญาไม่ล้ำเลิศเท่าฮูหยินสี่ ไม่เข้มแข็งเท่าฮูหยินสาม และไม่มีอารมณ์ขันมากเท่าฮูหยินรอง แต่ฮูหยินเจ็ดนั้นอายุยังน้อย ถึงจะพูดจาโผงผาง แต่ทุกประโยคก็ล้วนเต็มไปด้วยความเอื้ออาทร ยามนี้คนที่ได้รับความโปรดปรานที่สุดก็คือนาง
หลังจากนั้นอีกหลายปี จินเฟิ่งถึงได้ตระหนักว่าบุคลิกลักษณะของฮูหยินทั้งเจ็ดนี้ ล้วนครอบคลุมคุณลักษณะอันโดดเด่นของสตรีที่บุรุษทั่วหล้าใฝ่ฝันถึง และยิ่งสะท้อนให้เห็นถึงการผันแปรด้านความชมชอบที่บุรุษมีต่อความงามในชั่วชีวิตหนึ่ง
ส่วนหลิวไป๋อวี้ นางกลับเป็นพวกผ่าเหล่า
ก่อนเข้ามาอยู่ในจวน องครักษ์จางเชียนก็เคยอธิบายถึงความเป็นมาเป็นไปของหลิวไป๋อวี้ให้นางฟังโดยละเอียดก่อนแล้ว
หลิวไป๋อวี้เป็นหลานห่างๆ ของหลิวเซีย ส่วนไกลแค่ไหนนั้นกลับมิอาจบอกได้ชัด
ว่ากันว่าตอนอายุสิบหก บ้านเกิดของหลิวเซียเกิดโรคระบาด บิดามารดาก็ตายจนหมดสิ้น สมบัติเล็กน้อยที่มีอยู่ภายในบ้านต่างถูกพวกท่านลุงท่านอาในตระกูลแบ่งสันปันส่วนไปจนไม่เหลือหลอ หลิวเซียคิดเข้าเมืองหลวงหมายสอบเป็นขุนนาง แต่กลับไม่มีญาติคนใดยอมออกค่าเดินทางให้เขาเข้าเมืองหลวง ต่อมาก็มีท่านอาคนหนึ่งแสดงความเห็นอกเห็นใจออกมา แต่ความเห็นอกเห็นใจที่ว่านั้นกลับแฝงไว้ซึ่งการกลั่นแกล้ง ท่านอาร่วมสกุลผู้นี้ประกาศว่าหากหลิวเซียสามารถโม่ข้าวสาลีที่เพิ่งเก็บใหม่ให้เป็นแป้งได้เสร็จภายในคืนเดียว เขาจะยอมช่วยหลิวเซียเอง
ดังนั้นหลิวเซียจึงแปลงร่างเป็นบัณฑิตที่สวมร่างเป็นลา โม่ข้าวสาลีตลอดทั้งคืน
วันต่อมา หลังท่านอาคนดังกล่าวตรวจงานเสร็จ เขาก็ยอมโยนเงินสิบตำลึงลงบนพื้นต่อหน้าหลิวเซียด้วยความพึงพอใจ
เงินสิบตำลึง สำหรับคนธรรมดาทั่วไปแล้ว เพียงพอแค่เดินทางไปถึงเส้นทางเหอเป่ยเท่านั้น แม้แต่จะแตะขอบเมืองหลวงก็ยังทำไม่ได้เสียด้วยซ้ำ
แต่หลิวเซียไม่ใช่คนธรรมดา เขาไม่เพียงใช้เงินสิบตำลึงเดินทางมาสอบที่เมืองหลวงได้สำเร็จ หากแต่ยังสามารถสอบเป็นจ้วงหยวนได้อีกด้วย นับแต่นั้นหลิวเซียก็ก้าวหน้าพรวดพราด ดั่งสุนัขระกาเยี่ยมวิมาน*
หลิวไป๋อวี้ก็คือหลานสาวของท่านอาร่วมตระกูลที่สงเคราะห์หลิวเซียผู้นั้น
หลิวเซียมีชีวิตรุ่งโรจน์ แต่ตระกูลหลิวที่บ้านเกิดกลับตกต่ำถ้วนหน้า หลิวเซียตัดสัมพันธ์กับคนในตระกูลจนหมดสิ้น จวบจนถึงวันนี้ ที่เขารับเลี้ยงก็มีเพียงหลิวไป๋อวี้ที่ไร้บิดามารดาเพียงผู้เดียวเท่านั้น
เบื้องหลังของทุกคนล้วนมีอดีตอันขมขื่น จินเฟิ่งได้รับรู้แล้วก็จดจำมันไว้ในใจ
ก่อนไปพบหลิวไป๋อวี้ นางรู้สึกกังวลใจเป็นที่สุด
แต่ทันทีที่นางได้เจอหลิวไป๋อวี้ นางก็ลืมความกังวลใจที่มีก่อนหน้านี้ไปหมดสิ้น
หลิวไป๋อวี้พำนักอยู่ที่เรือนคุยจู๋ ซึ่งได้ชื่อมาจาก ‘แสงตะวันส่องสาดลอดป่าไผ่’ ในความสง่างามแฝงไว้ซึ่งความละเมียดละไม
ตอนจินเฟิ่งก้าวเท้าผ่านประตูเข้ามา นางเห็นหลิวไป๋อวี้กำลังตัดกิ่งต้นเยวี่ยกุ้ยออกมากิ่งหนึ่ง ปักมันลงบนแจกันหยก เงากิ่งสะท้อนทาบทับอยู่บนหน้าต่างกระดาษรางๆ กลายเป็นทัศนียภาพงดงามชวนมองยากจะบรรยาย
หลังจากปักกิ่งต้นเยวี่ยกุ้ยเป็นที่เรียบร้อย นางก็หันกลับมายิ้มให้จินเฟิ่งคราหนึ่ง แลประหนึ่งดอกเหมยผลิบานเต็มภูเขา ก่อนจะโรยร่วงจางหายไป