บทที่ 2
เนื่องจากเซี่ยฟั่งยังมิได้รายงานเรื่องที่ม้าอาละวาดเพราะถูกคนวางยากับเจ้าบ้านสกุลหาน จึงทำให้เจ้าบ้านสกุลหานที่กลับเรือนมานั้นยังมีอารมณ์คุยสนุกอยู่กับหานฮูหยิน
หลังจากสองสามีภรรยาสนทนากันครู่หนึ่งแล้ว เจ้าบ้านสกุลหานจึงกล่าวว่า “เซี่ยฟั่งคนนั้นใช้งานได้”
หานฮูหยินที่กำลังจุดเครื่องหอมอยู่เอ่ยถามขึ้น “ไยจู่ๆ ท่านจึงพูดเช่นนี้”
เจ้าบ้านสกุลหานเอนกายหลับตาพักผ่อนบนตั่งพลางตอบ “ข้าไปที่สกุลฉินมาแล้ว ตะล่อมถามท่านฉินทางอ้อมไปหลายเรื่อง เรื่องที่เซี่ยฟั่งบอกก็มิใช่เรื่องโป้ปด ตัวเขากับฐานะตระกูลของเขาล้วนเป็นความจริง”
มือของหานฮูหยินที่จุดเครื่องหอมชะงักกึก นางสงสัย “สรุปคือเรื่องซื้อที่ดินเป็นเพียงข้ออ้าง เรื่องสืบข่าวต่างหากที่เป็นจุดประสงค์ที่แท้จริงของท่านอย่างนั้นหรือ”
เจ้าบ้านสกุลหานกล่าวกลั้วหัวเราะ “เรื่องซื้อที่ดินก็เป็นเรื่องจริง การสืบข่าวก็จริง เพราะเป็นพ่อบ้าน อย่างไรก็ต้องหาคนที่ฉลาดเฉลียวและไว้ใจได้มิใช่หรือ”
“ในเมื่อท่านตั้งใจรับเขาไว้อยู่แล้ว เช่นนั้นเรื่องที่พูดว่าเก็บเขากลับมาต่อหน้าพวกบ่าวรับใช้ตอนเช้า ช้าเร็วก็ต้องลือถึงหูของเขา น่ากลัวเขาจะผูกใจเจ็บ”
“ข้าจงใจให้เขาได้ยินอยู่แล้ว” น้ำเสียงของเขาเย็นชา “อย่างไรเมื่อก่อนเขาก็เป็นคุณชาย ทว่าเมื่อเข้าสกุลหานเราแล้วก็ต้องลบความทะนงในตัวเขาให้หมดสิ้นเสียก่อน ให้เขาเข้าใจว่าบ่าวรับใช้ก็คือบ่าวรับใช้ ไม่ว่าในอดีตเขาจะเคยมีหน้ามีตาเพียงใดก็ต้องตั้งใจทำงานให้กับสกุลหาน เพราะข้าหานโหย่วกงเป็นคนเก็บเขากลับมา ให้เขาได้มีที่ซุกหัวนอน”
หานฮูหยินก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนตอบด้วยรอยยิ้ม “ก็จริง พ่อบ้านของสกุลหาน เมื่ออยู่ข้างนอกก็แทบมีสถานะเป็นเจ้านายคนหนึ่งแล้ว ฐานะนี้เขามิอาจรังเกียจได้ หากยังถือสาที่นายท่านมองเขาเช่นนี้ ไปจากที่นี่เสียก็สิ้นเรื่อง แต่เพราะเขาตกต่ำมาถึงสองปีก็ยังไม่ได้ดิบได้ดี คงตัดใจมิได้หรอกกระมัง”
เจ้าบ้านสกุลหานก็คิดเช่นนี้ จะรับคนคนหนึ่งไว้ใช้งานก็ต้องให้เขาเชื่อฟังตนก่อน ซึ่งจะให้คนคนหนึ่งเชื่อฟัง ก็ต้องทำลายทุกอย่างของเขาก่อน ไม่ว่าศักดิ์ศรีหรือความทะนงตน ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
ก๊อกๆ
ยามนี้เองเสียงเคาะประตูเบาๆ ก็ดังขึ้น เงาร่างที่สะท้อนบนกระดาษหน้าต่างดูยืดยาวสูงใหญ่
“นายท่าน”
หานฮูหยินยังไม่คุ้นกับเสียงของเซี่ยฟั่ง ทว่าบ่าวรับใช้ที่เพิ่งถูกรับเข้าคฤหาสน์ในระยะนี้ก็มีเพียงเซี่ยฟั่ง ฉะนั้นจึงพอเดาได้ว่าเป็นเขา นางมองไปทางสามีก็เห็นอีกฝ่ายลืมตาขึ้นพลางขานตอบ “เข้ามา”
ครู่หนึ่งประตูก็ถูกเปิดออก เซี่ยฟั่งก้าวเข้ามาอย่างเนิบช้า ไม่รอให้เขาได้คำนับ เจ้าบ้านสกุลหานก็ยื่นมือรั้งไว้กลางอากาศ กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ลุงฉินเจ้าตกลงขายที่ดินให้ข้าครั้งนี้ ล้วนเพราะความดีความชอบของเจ้า”
“เป็นเพราะท่านลุงฉินเห็นแก่นายท่านหรอกขอรับ” เซี่ยฟั่งไม่รับความดีความชอบแม้แต่น้อย ยังกล่าวอีกว่า “ที่เซี่ยฟั่งมา เพราะมีเรื่องจะรายงานนายท่าน”
เขาไม่รับความดีความชอบ เจ้าบ้านสกุลหานก็ไม่ฝืนใจ ก่อนเอ่ยถามขึ้น “มีเรื่องอะไรหรือ”
“วันนี้ม้าที่เทียมรถของนายท่านเกิดคลุ้มคลั่ง หลังจากผู้รู้ตรวจสอบแล้วก็พบสาเหตุขอรับ”
เจ้าบ้านสกุลหานที่ฟังนัยแฝงออกนิ่งอึ้งไปทันที “เจ้าว่ามา”
เซี่ยฟั่งเล่า “มีคนวางยาม้าจนทำให้มันอาละวาดชั่วคราว ตอนนี้ข้ายังสืบไม่ได้ว่าคนผู้นั้นเป็นใคร นายท่านโปรดให้เวลาข้าสืบหาสักสองสามวันเถิดขอรับ ส่วนม้าตัวนั้นข้าได้ให้คนขังไว้ในคอก แล้วก็ซื้อม้าตัวอื่นมาแทน หากพรุ่งนี้นายท่านต้องออกไปข้างนอก ก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะไม่สะดวกเลยขอรับ”
ไม่ว่าเรื่องเล็กเรื่องใหญ่ก็ล้วนจัดการได้เรียบร้อย ไม่ให้เจ้าบ้านสกุลหานและหานฮูหยินต้องพะวง แม้กระทั่งความพรั่นพรึงที่เกิดจากเรื่องม้าคลุ้มคลั่งก็พลอยน้อยลงสามส่วน
เจ้าบ้านสกุลหานไว้ใจเขามากขึ้นอีกนิด แต่สีหน้ากลับไม่ยอมเปิดเผย เขาเพียงแค่กล่าวอย่างเรียบเฉย “อย่าแหวกหญ้าให้งูตื่น หากสืบหาคนร้ายได้แล้ว ก็พาเขามาพบข้าก่อน อย่าเพิ่งส่งตัวให้ทางการ”
แววตาของเซี่ยฟั่งสั่นวูบชั่วขณะ ขานรับเสียงหนึ่งก็ออกจากเรือนไป