นางสวมชุดสีชมพูอ่อน ยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางดงดอกกุ้ยที่ถูกแสงจันทร์อาบทอ สะท้อนประกายสีเงินรอบตัว ราวกับเทพธิดาที่จุติลงมาจากสวรรค์ เซี่ยฟั่งเมื่อเห็นนางแล้วก็ชะงักไปเล็กน้อย
ฉินโหยวที่อยู่ทางนั้นโสตประสาทเฉียบแหลมยิ่ง ทันทีที่ได้ยินแล้วก็วิ่งเข้ามา เพียงแต่ระวังไม่ส่งเสียงเรียก เมื่อเขาวิ่งมาถึงจุดที่สว่างแล้ว ทันใดนั้นก็เห็นอาเหม่าและเซี่ยฟั่งยืนอยู่ด้วยกัน
บรรยากาศแปรเปลี่ยนเป็นกระอักกระอ่วนทันที ความคิดร้อยพันพาดผ่านเข้ามาในหัวของอาเหม่า นางมองเซี่ยฟั่งสลับกับมองฉินโหยว ดวงหน้าพลันซีดสลด
นางกำตะกร้าแน่น ก้มงุดแล้วเดินต่อไปข้างหน้า ทว่ายังไม่ทันสวนผ่านเซี่ยฟั่งก็ถูกเขาคว้าแขนไว้ทันที เรี่ยวแรงที่บีบแน่นนั้นทำให้นางอุทานเสียงเบาด้วยความเจ็บ
ฉินโหยวชะงักอึ้ง “เจ้าอย่า…”
“ไป” เซี่ยฟั่งเสียงห้าว จ้องเขาอย่างเยือกเย็น “ไป!”
ฉินโหยวกลืนคำวิงวอนลงคอทั้งหมด เขาทำอะไรไม่ถูกเช่นกัน กระทั่งสบเข้ากับสายตาของเซี่ยฟั่งที่เย็นเยียบคมกริบดุจมีดแล้ว เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันแล้วเดินจากไป ก่อนไปยังเหลือบมองอาเหม่าอีกแวบหนึ่ง แววตาของนางในยามนี้เต็มไปด้วยความตื่นตระหนกราวกับแมวที่ตกใจ
จนกระทั่งฉินโหยวจากไปแล้ว เซี่ยฟั่งก็ยังไม่ปล่อยมือ กลับเป็นอาเหม่าที่เอ่ยปากก่อน เสียงหวานสั่นเครือ “ข้าจะไม่บอกใคร”
เซี่ยฟั่งหันข้างมาจ้องนาง “เช่นนั้นคืนวันสารทนั่น เจ้าก็เห็นข้าแล้ว?”
อาเหม่าเงยหน้าขึ้นมองเขา ยามนี้ใบหน้าที่ในยามปกติสุภาพอ่อนโยนกลายเป็นเย็นเยียบดุดัน ชวนให้พรั่นพรึงยิ่ง “ใช่…”
นัยน์ตาของเซี่ยฟั่งพลันลุกวาวสลับมืดหม่น ท่าทางหวาดกลัวของอาเหม่าสะท้อนอยู่ในแววตา น้ำตาของนางแทบหยดกลิ้งลงจากดวงตาคู่สวย เขาเงียบเสียงไปครู่หนึ่งก่อนกล่าวว่า “ข้าจะเชื่อได้อย่างไรว่าเจ้าจะไม่บอกใคร”
“หากจะบอก ข้าคงไม่รอถึงตอนนี้”
“ต่อไปเล่า”
อาเหม่าตอบไม่ได้ นางไม่มีสิ่งใดที่จะนำมาสาบานได้ หากให้สัตย์สาบานด้วยชีวิตว่านางจะไม่แพร่งพรายออกไปเป็นอันขาด เขาก็คงไม่เชื่อ
แขนที่ถูกจับแน่นอยู่นานนั้นเริ่มมีอาการเหน็บชาแล้ว นางทั้งเจ็บและชา เวลานี้อาเหม่ากลัวเขามาก กลัวจับใจว่าที่นี่จะกลายเป็นสุสานของตนเอง
สายตาของเซี่ยฟั่งเวลานี้สามารถสังหารคนได้จริงๆ
เซี่ยฟั่งเองก็ไม่รู้ว่าตนกำลังคิดอะไรอยู่ ใจหนึ่งเขาก็อยากปล่อยอาเหม่า แต่อีกใจก็ไม่อาจปล่อยได้
“พ่อบ้าน ข้าจะไปจากสกุลหาน ไปพร้อมกับความลับ” อาเหม่าแทบวิงวอน “ขอเพียงนำสัญญาทาสมาได้ ข้าก็จะไปทันที ท่านก็รู้ว่าข้าไม่ชอบมีปัญหา ข้าอยากใช้ชีวิตอย่างสงบสุขแค่นั้น”
นางกลัวว่าหากเขาออกแรงมากกว่านี้ก็จะบีบแขนของนางจนหักได้ มือบางจึงจับข้อมือใหญ่ไว้ไม่ให้เขาออกแรงมากกว่านี้อีก “ท่านเชื่อข้าสิ”
เซี่ยฟั่งคลายมือทันที ใบหน้าซีดเผือดของอาเหม่ายังคงเจือความหวาดกลัวไว้ ทว่านางกลับมิได้วิ่งหนีไป เพราะถ้าหากวิ่งจริงอย่างไรนางก็วิ่งไม่พ้นเขาอยู่ดี
เขาอยากถามนางว่าเหตุใดจึงไม่เอ่ยทวงถึงน้ำใจที่นางเคยมีให้เขาก่อนหน้านี้ แต่ก็ไม่ได้ปริปาก เขาเชื่อว่านางจะไม่แพร่งพรายออกไป และรู้ว่าหากตนลงมือกับนางแล้ว ก็ใช่ว่าจะปลอดภัยกว่าปล่อยนางไว้เสมอไป
หากสาวใช้คนหนึ่งในสกุลหานหายตัวไป น่าจะต้องใช้เวลาหาอยู่สักพัก ภายในระยะสั้นหากยังสืบไม่พบอะไรก็ดีไป แต่เกิดสืบได้เล่า หนำซ้ำระยะนี้ในสกุลหานก็มีข่าวลือของเขากับอาเหม่าอยู่มาก ยากจะรับรองว่าเจ้าบ้านสกุลหานจะไม่สงสัยเขาเป็นคนแรก
ด้วยเหตุนี้หลังจากทบทวนแล้ว เขาลองพนันด้วยการปล่อยให้อาเหม่าไป จึงจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด
เซี่ยฟั่งชั่งน้ำหนักแล้วก็ได้ข้อสรุปเช่นนี้ ทั้งกล่อมตนเองให้ยอมรับได้อย่างง่ายดาย “ไปเสีย”