“ลูกอกตัญญูเช่นกระหม่อม อดีตฮ่องเต้ไม่ทรงปรารถนาจะพบหน้า ก็เป็นเรื่องสมควร…” หลี่หยวนเพ่ยรู้สึกเจ็บปวดเสียใจยิ่ง “ทว่าในฐานะของผู้เป็นลูก กลับไม่อาจปรนนิบัติพ่อแม่ ย่อมอดที่จะเสียใจไม่ได้ ไม่ทราบจะขอให้ฝ่าบาทช่วยเล่าเหตุการณ์ตอนพระบิดาประชวรหนักให้ฟังจะได้หรือไม่”
ฮ่องเต้ทอดถอนพระทัยเบาๆ “ตั้งแต่รัชศกเสี่ยนเต๋อปีที่สิบเก้าเป็นต้นมา อดีตฮ่องเต้ก็ทรงทุกข์ทรมานด้วยโรคลมอยู่เสมอ เวลาเป็นหนักพระเนตรมองไม่เห็น ปีที่แล้วพระอาการหนักมาก มักสติสัมปชัญญะเลอะเลือน ต่อมาถึงกับไม่อาจออกว่าราชการ…”
หลี่หยวนเพ่ยทูลถามอย่างระมัดระวัง “กระหม่อมได้ยินว่าฝ่าบาทเคยถวายยาที่ปรุงโดยนักพรต”
ฮ่องเต้ผงกพระเศียร “ยาและการฝังเข็มที่ใช้อยู่ตามปกติธรรมดามักไม่ได้ผล พระบิดาทรงเจ็บปวดทรมานมาก มีรับสั่งให้ข้าหาคนที่มีฝีมือการรักษาโรคแปลกพิสดาร ข้าจึงได้ทูลเสนอให้ใช้ยาที่ปรุงโดยนักพรต เสียดาย…”
หลี่หยวนเพ่ยยกชายแขนเสื้อขึ้นซับหางตา แล้วว่า “แล้วพระมารดาของกระหม่อม…”
“ไทเฮาร่างกายแข็งแรงดี” ฮ่องเต้ตรัสเสียงอ่อนโยน “เพียงแต่ไม่ได้พบเจ้าหลายปี ทรงเป็นห่วงและคิดถึงเจ้ามาก สักครู่เจ้าจงไปเข้าเฝ้า ต่อไปเจ้าต้องเข้าวังมาบ่อยๆ ไทเฮาจะได้ดีพระทัย”
หลี่หยวนเพ่ยรับคำ
สองพี่น้องสนทนากันอยู่อีกครู่หนึ่ง ฮ่องเต้จึงแย้มพระสรวล “ไทเฮาคงจะทรงรอจนร้อนพระทัยแล้ว เจ้ารีบไปเถิด”
หลี่หยวนเพ่ยรีบขอบพระทัยแล้วทูลลาออกมา
อีกด้านหนึ่ง ฉีซู่ก็ได้พบฮองเฮาชุยซื่อแล้ว
ชุยฮองเฮายังคงหมดจดงดงามเช่นแต่ก่อน เพียงแต่ท่าทีดูสุขุมเยือกเย็นและภูมิฐานขึ้นหลายส่วน ฮ่องเต้ทรงประหยัดมัธยัสถ์ ฮองเฮาเวลาไม่ได้ออกงานพิธีก็เพียงเกล้ามวยผมซ้อนกันสามชั้น สวมเสื้อแขนสั้น ด้านล่างสวมกระโปรงผ้าเจ็ดชิ้น
หลังจากฉีซู่ทำความเคารพ ชุยฮองเฮาก็ทักทายด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ประทานเก้าอี้นั่ง และประทานสิ่งของให้ตามธรรมเนียม ยามนี้พระสนมหลายคนก็กำลังมาสนทนากับฮองเฮาอยู่พอดี ชุยฮองเฮาแนะนำให้ฉีซู่รู้จักทีละคนอย่างใจเย็น
สมัยฮ่องเต้ยังเป็นรัชทายาทเคยรับเหลียงตี้หนึ่งคน เจาซวิ่น* สามคน หลังขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ นางในเหล่านี้ต่างก็ได้รับการแต่งตั้ง
เหลียงตี้สกุลเซียวมีโอรสสององค์ ได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นเต๋อเฟย เพียงแต่หลังให้กำเนิดพระโอรสร่างกายก็อ่อนแอมาโดยตลอด เป็นเหตุให้วันนี้ไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ เจาซวิ่นสามคนต่างได้ขึ้นเป็นสนมทั้งเก้า ซิวอี๋สกุลจ้าวและซิวย่วนสกุลซุนต่างเป็นหญิงสาวที่อ่อนโยนนุ่มนวลละมุนละไม หลังจากทำความเคารพฉีซู่แล้วก็ไม่ค่อยได้พูดอะไร เจาอี๋สกุลเสิ่นรูปโฉมงามเพริศพริ้ง นางหวีมวยผมทรงโหนอาชา** ประดับด้วยช่อดอกไม้ทองคำงามหรู กอปรกับการวาดริ้วแดงที่ปลายหางคิ้ว*** อย่างงดงามวิจิตรบรรจง สวมชุดกระโปรงแขนกว้างสีแดงทับทิมเผยเนินอก ด้านนอกเพียงคลุมด้วยเสื้อแขนสั้นตัวยาวสีแดงเหลือบเงิน แต่งเนื้อแต่งตัวงดงามสะดุดตายิ่ง เปรียบกับฮองเฮาแล้วยังสดใสเพริศพรายกว่าหลายส่วน
ก่อนฉีซู่จะเข้าวังเคยได้ยินว่าเสิ่นเจาอี๋มาจากสกุลเล็กไร้ชื่อเสียง แต่ได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาท บางครั้งทำอะไรไม่ค่อยระมัดระวัง แล้วก็ไม่ผิดจากที่คิด หลังจากฉีซู่ทำความเคารพแล้ว เสิ่นเจาอี๋กลับไม่ได้ทำความเคารพตอบ หากแต่เลิกคิ้วเรียวงามดุจกิ่งหลิวขึ้น กล่าวยิ้มๆ “พระชายาหนิงอ๋อง รูปโฉมหมดจดงดงามยิ่ง”
* เหลียงตี้และเจาซวิ่น เป็นตำแหน่งนางในของรัชทายาท
** มวยผมทรงโหนอาชา หรือมวยผมตกหลังม้า เป็นทรงผมของผู้หญิงชาวฮั่นที่แต่งงานแล้ว เนื่องจากเกล้ามวยเฉียงแบบหลวมๆ ไว้ด้านข้างศีรษะ คล้ายจะร่วงหลุดแต่ไม่หลุด จึงได้ชื่อดังกล่าว
*** การวาดริ้วแดงช่วงหางคิ้วเป็นการแต่งหน้าของหญิงสาวในสมัยโบราณ