ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 10 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1 บทที่ 10 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ เล่ม 1

ผู้เขียน : เหยียนเหลียงอวี่

แปลโดย : สนสราญ

ผลงานเรื่อง : พ้นเที่ยงคืนกลืนมิติ

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับความรุนแรง 

การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ การตาย การฆาตกรรม

การบังคับหรือโน้มน้าวให้ทำบางอย่างโดยไม่เต็มใจ

การกักขังหน่วงเหนี่ยว การทรมาน การบูลลี่

การกล่าวถึงเลือด สภาพศพ และสถานการณ์อันน่าขยะแขยง

    

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

 

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 10

พ่อค้าคนกลาง

 

เพียงไม่นานทุกคนก็อ่านข่าวสารที่แจ้งมาเป็นที่เรียบร้อย ทว่าปฏิกิริยากลับแบ่งเป็นสองกลุ่ม

ฟั่นเพ่ยหยาง ถังหลิ่น และเจิ้งลั่วจู๋ต่างมีสีหน้าตื่นตะลึง เมื่อสองสามชั่วโมงก่อนพวกเขายังคิดว่าต้องอดทนรออีกนาน ตอนนี้กลับบอกว่ามีเวลาเหลือแค่เจ็ดวัน

กลุ่มของชายเสื้อยืดขาดสามคนกลับเหมือนไม่มีปฏิกิริยาตอบสนอง ท่าทางสงบนิ่งราวกับกำลังอ่านข้อความโฆษณาสั้นๆ นั้น

“ผ่านมาสองเดือนแล้ว จะเปิดก็สมควรแล้ว” ชายเสื้อยืดขาดเหยียดยืดเอว

ถังหลิ่นเอียงคอมองดูท่าทางของพวกเขาสามคน “พวกคุณไม่คิดจะเข้าไปทำเควส?”

ชายเสื้อยืดขาดร้องเฮอะออกมาคำหนึ่ง “พวกเราไม่อยากตาย”

ถังหลิ่น “เควสยากมากงั้นเหรอ”

“ยาก” ชายเสื้อยืดขาดตอบอย่างไม่ลังเล “แต่ที่รับมือยากกว่าคือคนที่ต้องการผ่านเข้าไปทำเควสพวกนั้น”

ฟั่นเพ่ยหยางตบๆ ถังหลิ่นเบาๆ “คุณกับจู๋จื่ออยู่ที่นี่นะ ผมจะออกไปดูข้างนอกหน่อย จะได้แวะไปรวบรวมข่าวด้วย”

ถังหลิ่นเองก็คิดจะออกไปเหมือนกัน แต่พอนึกขึ้นได้ว่าต้นไอเทมของตัวเองมีก็แต่ใบไม่มีผล เป็นตัวถ่วงของฟั่นเพ่ยหยาง เขาก็ได้แต่ล้มเลิกความตั้งใจ “ได้”

ฟั่นเพ่ยหยางมองไปทางเจิ้งลั่วจู๋

อีกฝ่ายใจลอยคล้ายกำลังนึกอะไรบางอย่าง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้สบเข้ากับสายตาของฟั่นเพ่ยหยาง เขารีบพยักหน้า “วางใจได้ ผมจะดูแลประธานถังเอง”

“พวกนายเข้าใจใช่ไหมว่าอะไรเรียกว่าฟังคนเตือน มีข้าวให้กินอิ่ม” ชายเสื้อยืดขาดพูดอย่างอ่อนอกอ่อนใจ “คนอย่างพวกนายฉันเห็นมาไม่น้อย ตอนมาถึงที่นี่ใหม่ๆ ทุกคนล้วนคิดว่าตัวเองแน่มาก สุดท้ายตายยังไงก็ยังไม่รู้ตัว”

ฟั่นเพ่ยหยางพยักหน้าเป็นสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายรู้ว่าเขาได้ยินแล้ว จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเปิดประตูตาข่ายเหล็ก

ชายเสื้อยืดขาดไม่พูดอะไรอีกแล้วบอกเพียง “จำไว้ กลับมาที่นี่ก่อนค่ำ”

ฟั่นเพ่ยหยางหันหน้ากลับไป “นครใต้พิภพมีตอนกลางคืนด้วย?”

ถ้าเขาจำไม่ผิด ที่นี่มีแต่แสงไฟไม่มีแผ่นฟ้า

ชายเสื้อยืดขาด “ขอเพียงไม่ได้ยินเสียงอึกทึกครึกโครม นั่นก็หมายความว่าฟ้ามืดแล้ว”

ที่เขาพูดหมายถึงเสียงเครื่องจักรของนครใต้พิภพที่ดังวนเวียนอยู่ตลอดเวลานั่น

ฟั่นเพ่ยหยางถามขึ้นอีก “ฟ้ามืดแล้วทำไม”

ชายเสื้อยืดขาดตอบเขา “ปีศาจราตรีจะโผล่ออกมา”

 

ที่ท้ายตรอกเล็กๆ ไกลหูไกลตาผู้คนภายในนครใต้พิภพ ฝาท่อถูกขยับเคลื่อนไปทางด้านข้าง เงาร่างสูงใหญ่มุดลอดออกมา

แต่ด้วยวิธีปรากฏกายเช่นนี้ทำให้ความรู้สึกสูงใหญ่นั้นแลดูหดเล็กลง

โชคดีที่ไม่มีใครพบเห็น

ฟั่นเพ่ยหยางย้ายฝาท่อกลับ ตบเสื้อเชิ้ตเบาๆ วางตัวภูมิฐานเยี่ยงคนเป็นเจ้านายอีกครั้ง

ครั้นพ้นออกจากตรอกถนนหนทางก็เต็มไปด้วยผู้คนขวักไขว่ นอกจากพวกเร่ร่อนกับคนที่รีบเร่งเดินทางแล้ว ยังมีคนเดินเล่นไปมาอีกไม่น้อย บ้างก็จับกลุ่มสามคนห้าคนทักทายผูกสัมพันธ์กัน ดูท่าข่าวเรื่องด่านกำลังจะเปิดจะกระตุ้นให้นครใต้พิภพแห่งนี้มีชีวิตชีวา

ฟั่นเพ่ยหยางหลบเลี่ยงฝูงชน เขาเลือกมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของนคร

มีท่อขนาดใหญ่เชื่อมต่อลงมาจากด้านบนจริงอย่างที่ชายเสื้อยืดขาดบอก ถึงตอนนี้ท่อนั่นจะไม่มีอาหารส่งลงมา แต่รอบๆ ก็ยังคงมีคนจำนวนหนึ่งเฝ้าอยู่อย่างแน่นหนา จากตำแหน่งกับท่าทีของคนพวกนั้นพอจะแบ่งออกได้เป็นเจ็ดแปดกลุ่ม

หนึ่งในนั้นคือพวกสวมเชิ้ตขาว ทว่าตำแหน่งของพวกเขากลับไม่สู้ดีนัก หากตำแหน่งเป็นเครื่องบ่งบอกถึงสถานะของกลุ่ม เช่นนั้นเกรงว่ากลุ่มไป๋จู่ก็ยังไม่อาจจัดเป็นอันดับหนึ่งของนครใต้พิภพได้

หลังจากนั้นไม่นานฟั่นเพ่ยหยางก็เดินตามพิกัดบน ‘โน้ตย่อ’ มาจนพบกับปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน

ปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินสร้างขึ้นบนจัตุรัสทรงกลมที่อยู่กลางเมือง ตลอดทางที่ฟั่นเพ่ยหยางเดินมา ที่นี่เรียกได้ว่าเป็นพื้นที่เปิดโล่งเพียงหนึ่งเดียว เส้นผ่านศูนย์กลางของจัตุรัสมีระยะทางประมาณห้าสิบเมตร มีเครื่องจักรเครื่องยนต์ที่ดูไม่ออกว่าใช้ทำอะไรวางกระจัดกระจายอยู่เป็นจำนวนมาก ปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินอยู่ตรงกลางของจัตุรัส ด้านข้างมีนาฬิกาสูงใหญ่ตั้งอยู่เรือนหนึ่ง

บนหน้าปัดเต็มไปด้วยฟันเฟืองสลับซับซ้อน แต่กลับเคลื่อนที่สบเข้าหากันได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ ที่ล้อมอยู่ด้านนอกคือตัวเลขบอกเวลาโรมัน

ตอนนี้เข็มนาฬิกาสีบรอนซ์ชี้ไปที่ตัวเลข 7:18

เพื่อความสะดวกในการต่อสู้ นับแต่เข้ามาทำเควส ฟั่นเพ่ยหยางก็ไม่เคยสวมนาฬิกาข้อมือ ทว่าบนโทรศัพท์เขาแสดงเวลาปักกิ่งเป็น 07:18 น. ไว้

เมื่ออยู่ที่นี่โทรศัพท์ไม่สามารถเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตได้ แต่ขอแค่มีพลังงาน เข็มนาฬิกาก็ยังคงคิดคำนวณตามระบบดิจิตอลได้อย่างถูกต้องไม่มีผิดเพี้ยน

การเลื่อนไหลเวลาของที่นี่กับโลกแห่งความเป็นจริงเท่ากันงั้นเหรอ

ฟั่นเพ่ยหยางเก็บงำความรู้สึกสงสัยไว้ก่อนชั่วคราว เขาขยับเข้าไปใกล้ปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน ก่อนจะหยุดสังเกตอยู่อีกครู่หนึ่ง คนที่เดินเข้าไปสังเกตการณ์บริเวณปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินนั้นมีอยู่ไม่น้อย ตอนเข้าไปยืนอยู่ท่ามกลางคนพวกนั้นเขาก็ไม่ได้แลดูสะดุดตาอะไร

ปากทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดินมีประตูโลหะบานหนึ่งที่ถูกปิดไว้อย่างแน่นหนา หมุดย้ำจำนวนนับไม่ถ้วนตอกอยู่บนประตูเป็นตัวเลข 1/10 ขนาดใหญ่

1/10 หมายถึงด่านที่หนึ่งจากทั้งหมดสิบด่าน

หลังพ้นออกจากจัตุรัส ฟั่นเพ่ยหยางก็ตั้งใจจะไปดูที่ทางฝั่งตะวันตกของนครใต้พิภพ ทว่าเพิ่งเดินไปได้สองก้าวเขาก็เห็นหลี่ว์เจวี๋ยเดินตรงมาจากอีกฟาก

เพราะไม่อยากพูดคุยกับอีกฝ่าย เขาจึงอาศัยจังหวะเลี้ยวเข้าไปในตรอกมืดที่อยู่ด้านข้างก่อนที่หลี่ว์เจวี๋ยจะทันได้สังเกต

นึกไม่ถึงว่าเพิ่งเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กได้ไม่ทันไร เขาก็เห็นคนสองคนกำลังสู้กันอยู่ ถ้าจะพูดให้ถูกต้องก็ต้องบอกว่าฝ่ายหนึ่งกำลังเล่นงานอีกฝ่ายอยู่

คนที่เป็นฝ่ายลงมือนั้นห้าใหญ่สามหนา* ส่วนคนที่ถูกเล่นงานนั้นผอมแห้งอ่อนแอ ทั้งสองฝ่ายล้วนไม่มีใครใช้ต้นไอเทม คาดว่าคนที่เป็นฝ่ายเล่นงานนั้นคงรู้สึกว่าไม่มีความจำเป็น ส่วนฝ่ายที่ถูกเล่นงานนั้นตอนนี้เรียกได้ว่าไม่มีกำลังเหลือแล้ว

“บัดซบเอ๊ย ยอมตั้งแต่แรกก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือไง” ชายที่มีรูปร่างห้าใหญ่สามหนารายนั้นไม่ทันสังเกตเห็นฟั่นเพ่ยหยาง เขาคร่อมอยู่บนร่างของอีกฝ่าย หายใจฟึดฟัด คลำสะเปะสะปะไปบนร่างของคนที่ตัวเล็กกว่า เพียงไม่นานก็ล้วงเอาขนมปังก้อนหนึ่งออกมา

ขนมปังนั่นก้อนเล็กนิดเดียว สภาพบู้บี้ไม่มีชิ้นดี

ชายห้าใหญ่สามหนาคิดจะลุกขึ้น ทว่าจู่ๆ ข้อมือเขาก็ถูกคนที่อยู่ด้านล่างคว้าไว้ “เอาคืนมา”

“เชี่ยเอ๊ย!” ชายห้าใหญ่สามหนาดึงมือฝ่ายตรงข้ามออก ลุกขึ้นยกเท้าหมายกระทืบใส่หัวอีกฝ่าย

หากเท้านั่นกระทืบลงไป คนมีหวังได้จบเห่แน่นอน

จู่ๆ อาหารกระป๋องใบหนึ่งก็ลอยมา กระแทกใส่หัวของชายห้าใหญ่สามหนาดัง ‘โป๊ก’

ชายห้าใหญ่สามหนาโซเซ เท้าที่ยกขึ้นย่ำถูกพื้น เหยียบไม่โดนเป้าหมาย

“ใครวะ” ชายห้าใหญ่สามหนามองเห็นฟั่นเพ่ยหยางแล้ว เขาตวาดออกมาด้วยความอับอายและโกรธขึ้ง

ฟั่นเพ่ยหยางไม่สนใจ สายตาจับจ้องไปที่อาหารกระป๋องบนพื้นพร้อมกลั้นหายใจตั้งสมาธิ หลังจากนั้นก็ช้อนตาขึ้นรวดเร็ว

อาหารกระป๋องลอยตามขึ้นมา พุ่งกระแทกใส่หลังหัวของชายห้าใหญ่สามหน้าอีกคราว

การบังคับทั้งสองครั้งล้วนโจมตีเล่นงานใส่เป้าหมายได้อย่างแม่นยำ ถึงตำแหน่งจะไม่ได้ถูกต้องเต็มร้อยอย่างที่ต้องการ แต่ฟั่นเพ่ยหยางก็พอใจแล้ว

ก่อนหน้านี้ตอนทุกคนกำลังหลับ เขาอาศัยจังหวะนั้นฝึกฝนอยู่เงียบๆ นอกจากใช้อาหารกระป๋องแล้ว เขายังได้ลองควบคุมข้าวของต่างๆ ที่พวกชายเสื้อยืดขาดวางกองไว้ตรงมุมผนัง ตอนนี้เรียกได้ว่าเขาสามารถควบคุมวัตถุได้ค่อนข้างดีแล้ว ทว่าความคล่องแคล่วชำนิชำนาญ ความเร็ว รวมถึงพลังนั้นยังห่างอีกไกลโข ที่สามารถควบคุมได้ก็แค่ของชิ้นเล็กๆ อย่างอาหารกระป๋องและโทรศัพท์อะไรพวกนั้น สำหรับเขาในเวลานี้อันที่จริงก็นับว่าเต็มที่แล้ว ส่วนพวกของมีคมยังควบคุมได้ไม่สมบูรณ์ ต่อให้เป็นมีดพกที่เบากว่ากระป๋องก็ตามที

“โครม…”

ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มตัวผอมที่ถูกเล่นงานจนลงไปกองอยู่กับพื้นนั้นลุกขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาอาศัยจังหวะที่ชายห้าใหญ่สามหนาถูกอาหารกระป๋องเล่นงานจนเสียสมาธิ ใช้ร่างแทนกระสุนปืนใหญ่พุ่งกระแทกใส่อีกฝ่ายเต็มแรง

ชายห้าใหญ่สามหนาไม่ทันระวัง ถูกชนจนโซซัดโซเซเสียสมดุล กระแทกเข้ากับกำแพงตรอก

เด็กหนุ่มตัวผอมชิงเอาขนมปังกลับมาพร้อมคว้าอาหารกระป๋องบนพื้นขึ้นอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นก็ชักเท้าออกวิ่งไม่ต่างอะไรกับกระต่ายคลั่ง

ชายห้าใหญ่สามหนาถ่มน้ำลายออกมาทีหนึ่ง ทิ้งคำพูดบอกฟั่นเพ่ยหยาง “ฝากไว้ก่อนเถอะ” จากนั้นก็ชักเท้าวิ่งไล่ตามอีกฝ่ายไปอย่างเงียบเชียบ รวดเร็วกว่าคนธรรมดามาก คล้ายใต้ฝ่าเท้ามีกระแสอากาศรองรับอยู่

ฟั่นเพ่ยหยางเลิกคิ้ว เข้าใจได้ทันที

นี่คือเหตุผลที่ชายห้าใหญ่สามหนาไม่ได้ใช้ไอเทมโจมตีกลับ ที่แท้ต้นไอเทมของอีกฝ่ายก็เป็นไอเทมเสริมที่ช่วยในการเพิ่มความเร็ว ไม่มีประโยชน์ในการต่อสู้

ทว่าเทียบกันแล้วฟั่นเพ่ยหยางกังวลเรื่องอาวุธที่เขาพกติดมือมาด้วยเมื่อครู่มากกว่า มันเหมือนจะถูกคนขโมยไปแล้ว

 

ซอยตัน ซากปรักหักพัง น้ำเสียเจิ่งนอง

เด็กหนุ่มตัวผอมดูอ่อนแอขดตัวอยู่ที่เชิงกำแพง ตะกรุมตะกรามกินอาหารกระป๋องไม่หยุด เสียงสำลักดังลอยมาเป็นพักๆ

แค่สามถึงห้าวินาทีอาหารในกระป๋องก็หายเกลี้ยง เด็กหนุ่มยื่นนิ้วไปควักเศษอาหารที่เหลือ จู่ๆ เหนือศีรษะของเขาก็มืดลง

เด็กหนุ่มเงยหน้าตะลึงพรึงเพริด ร่างทั้งร่างถูกปกคลุมอยู่ใต้เงาดำ

ฟั่นเพ่ยหยางก้มมองอีกฝ่าย เพราะยืนย้อนแสงจึงไม่อาจบอกได้ว่าอารมณ์ของเขายามนี้เป็นเช่นไร “กินอิ่มหรือยัง”

เด็กหนุ่มรีบควักเศษเนื้อคำสุดท้ายส่งเข้าปาก หลังจากนั้นก็ชูกระป๋องขึ้นเหนือศีรษะด้วยท่าทีนอบน้อมเป็นพิเศษ “พี่ชาย ผมคืนให้”

กระป๋องเปล่าสะอาดเอี่ยมราวกับถูกขัดล้าง ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็กู้กลับคืนมาไม่ได้แล้ว

“นายเก็บไว้เถอะ” ฟั่นเพ่ยหยางรู้สึกสำนึกผิดจริงๆ เป็นครั้งแรก เขาเลือกอาวุธไม่รู้จักคิดหน้าคิดหลังเอาเสียเลย

เห็นอีกฝ่ายไม่ถือโทษแบบนั้น เด็กหนุ่มก็เริ่มใจกล้ามากขึ้น เขาพูดพึมพำว่า “ต้นไอเทมของพี่ชายคือควบคุมวัตถุกลางอากาศได้? งั้นก็ใช้ก้อนหินสิ ใช้อาหารกระป๋องไม่เรียกต่อสู้ เขาเรียกล่อใจต่างหาก”

ฟั่นเพ่ยหยาง “…”

“เอ่อ ว่าแต่ทำไมถึงเหมือนจะไม่เคยเห็นพี่ชายมาก่อน เพิ่งมาใหม่งั้นเหรอ” เด็กหนุ่มคล้ายพบแผ่นดินใหม่

ฟั่นเพ่ยหยางเลิกคิ้วไม่พูดไม่จา

เด็กหนุ่มหัวเราะหึๆ ตาที่ถูกชกเริ่มบวมปูดออกมาให้เห็น แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลต่อท่าทางภูมิใจนั่น “พี่ชายไม่รับเอาไว้ก็ไม่เป็นไร นี่ผมไม่ได้จะคุยโม้นะ แต่ในนครใต้พิภพนี้ มีคนเท่าไหร่ มีกี่กลุ่ม บ้านไหนมีใครอยู่บ้าง ร้านไหนไว้ใจไม่ได้ที่สุด ผมล้วนรู้ดี อย่าเห็นว่าผม…”

“ร้าน?” จู่ๆ ฟั่นเพ่ยหยางก็เอ่ยปากตัดบทอีกฝ่าย

เด็กหนุ่ม “ก็ร้านค้าไง”

“ขายอะไร”

“ขอแค่เป็นของที่ซื้อขายได้ยังไงก็มีคนทำทั้งนั้น ของกิน ของใช้ อาวุธ แล้วก็ไอเทม”

“พาฉันไปที่นั่น”

ฟั่นเพ่ยหยางเดินตามเด็กหนุ่มทะลุผ่านตรอกมืดไปเส้นแล้วเส้นเล่า เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา เลี้ยวจนเกือบหลงทาง ในที่สุดก็มองเห็นเหลียงซินพ่อค้าคนกลางของนครใต้พิภพที่เด็กหนุ่มพูดถึง

เหลียงซินไม่ผลิตอาหารหรือไอเทม เขารับจัดการแค่ขนส่งข้าวของพวกนั้น ทำกำไรจากส่วนต่างนิดๆ หน่อยๆ

หลังนำทางเสร็จและได้รับขนมปังเล็กๆ สองก้อนเป็นค่าตอบแทนที่แนะนำลูกค้ามา เด็กหนุ่มก็เดินจากไป

ครั้นเหลียงซินปิดประตูหน้าต่างเสร็จ เขาก็พาฟั่นเพ่ยหยางไปยังห้องใต้หลังคา ก่อนจะถามออกมาตรงๆ “นายคิดจะชำระบัญชีเมื่อไหร่”

ฟั่นเพ่ยหยางนึกสนใจ “ฉันต้องการอะไรนายยังไม่รู้ด้วยซ้ำ”

“เชิญนั่ง” เหลียงซินนั่งลงข้างโต๊ะตัวหนึ่ง เชิญฟั่นเพ่ยหยางนั่งลงที่ฝั่งตรงข้าม

ฟั่นเพ่ยหยางทำตามแต่โดยดี นั่งประจันหน้ากับอีกฝ่ายโดยมีโต๊ะกั้นขวางอยู่ระหว่างกลาง

เหลียงซินค่อนข้างเจ้าเนื้อ ใบหน้าซื่อๆ ทว่านัยน์ตากลับฉายแววเฉลียวฉลาด “นายอยากซื้อไอเทม”

ฟั่นเพ่ยหยางไม่รู้สึกประหลาดใจ

คนที่ทำการค้าได้รุ่งเรืองแบบนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องมีวิสัยทัศน์

“วิธีชำระบัญชีขึ้นอยู่กับความสามารถในการซื้อของนาย” เหลียงซินหยิบเอากระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากในลิ้นชักแล้วยื่นส่งให้ฟั่นเพ่ยหยาง “นี่เป็นรายการไอเทม ถ้าใช้อาวุธแลกเปลี่ยน นายจะเลือกได้แค่ครึ่งแรกเท่านั้น แต่ถ้าใช้อาหารแลกเปลี่ยน ไอเทมในรายการนายสามารถเลือกได้ทั้งหมด แต่ก็ต้องดูปริมาณและคุณภาพของอาวุธและอาหารที่จะเอามาแลกด้วย”

อาวุธและอาหารถือเป็นเงินตราสกุลแข็งในนครใต้พิภพ ทว่าเพราะการมีตัวตนอยู่ของไอเทม อาวุธจึงไม่มีความจำเป็นสักเท่าใดนัก ด้วยเหตุนี้ความสามารถในการซื้อย่อมด้อยกว่าอาหาร

แต่ว่า…

 

‘ ‘[ป้องกัน] ข้าเห็นเจ้าทะลุปรุโปร่ง’ สินค้าในสต็อก : มีจำนวนมาก

‘[ป้องกัน] ลอยล่องสุขสันต์สิบห้านาที’ สินค้าในสต็อก : 1

‘[ป้องกัน] ระฆังทองคุ้มกาย’ สินค้าในสต็อก : 2

‘[ป้องกัน] กลางหมอกห้าหลี่’ สินค้าในสต็อก : 1’

 

“รวมทั้งหมดมีแค่สี่รายการ อันที่จริงไม่ต้องทำใบรายการก็ได้” ฟั่นเพ่ยหยางพูดออกมาตามตรง

เหลียงซินถอนหายใจ เอ่ยปากให้คำแนะนำด้วยใจจริง “ตอนนี้นายยังหนุ่ม นานไปเดี๋ยวก็จะรู้เอง อยู่ที่นี่ ไอเทมไม่ต่างอะไรกับสมบัติล้ำค่าหายาก คนที่มีก็ไม่มาก คนที่ยอมขายกลับยิ่งน้อยเข้าไปใหญ่ กว่าจะรวบรวมได้เท่านี้ก็ต้องทุ่มเทกำลังไปไม่ใช่น้อย”

ฟั่นเพ่ยหยาง “แถมยังเป็นไอเทมป้องกันทั้งหมดด้วย”

มืออ้วนๆ ของเหลียงซินตบลงบนใบรายการทีหนึ่ง สีหน้าไม่พอใจ “เอาแต่ติโน่นตินี่ไม่หยุด นายดูไม่เหมือนคนตั้งใจจะซื้อของ”

ฟั่นเพ่ยหยางจิตใจสงบนิ่ง

ระหว่างทางมาที่นี่เขามองเห็นเครื่องบริการธุรกรรมอัตโนมัติแล้ว ในด่านอื่นๆ ก่อนหน้านี้ก็เคยมีให้เห็นเช่นกัน นอกจากนี้เขายังเคยใช้มันอยู่สองสามครั้ง รายการฝากถอนเปลี่ยนแปลงไปตามจริง นี่แทบจะเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มีการเชื่อมต่ออยู่กับโลกจริง

“ฉันไม่มีทั้งอาวุธและอาหาร” เขามองไปทางเหลียงซิน “เงินใช้ได้หรือเปล่า”

จู่ๆ เหลียงซินก็นั่งตัวตรง ใบหน้าสว่างไสว แม้แต่เสียงก็ยังสูงขึ้น “คุณพูดถึงเรื่องนี้ปุ๊บผมก็กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาปั๊บ”

เขาเปลี่ยนมาเรียกฟั่นเพ่ยหยางว่าคุณ

อีกฝ่ายยกระดับการต้อนรับให้เถ้าแก่ฟั่นขึ้นเป็นแขกผู้มีเกียรติอย่างเป็นทางการ

* ห้าใหญ่สามหนา เป็นการบรรยายถึงรูปร่าง โดยที่ห้าใหญ่ประกอบไปด้วยสองมือ สองเท้า และหนึ่งศีรษะที่มีลักษณะใหญ่ ส่วนสามหนาประกอบด้วยขา เอว และคอที่มีลักษณะหนา

25 

  

โปรดติดตามตอนต่อไป

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 6

บทที่ 6 คณิกา+เมาสุรา หอคณิกาตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเมืองเซิ่งจิง เรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ‘เป่ยหลี่’ ที่นี่ห่างจากที่ตั้งของ...

community.jamsai.com