ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2 บทที่ 35 #นิยายวาย – Jamsai
Connect with us

Jamsai

everY

ทดลองอ่าน ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2 บทที่ 35 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง ภาพวาดโครงกระดูก เล่ม 2

ผู้เขียน : ซีจื่อซวี่

แปลโดย : qMondae

ผลงานเรื่อง : 骷髅幻戏图 (Ku Lou Huan Xi Tu)

ถือเป็นลิขสิทธิ์ของสำนักพิมพ์เอเวอร์วายในการเผยแพร่ผลงาน

จัดพิมพ์และจัดจำหน่ายในประเทศไทยแต่เพียงผู้เดียว

หากผู้ใดละเมิดลิขสิทธิ์จะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย

– – – – – – – – – – – – – – – – –

 

Trigger Warning

เนื้อหามีประเด็นอ่อนไหวเกี่ยวกับการตาย การฆ่าตัวตาย การฆาตกรรม

มีการบรรยายถึงเลือดและสภาพศพ การทำร้ายทางร่างกายและจิตใจ

และการทำร้ายเด็ก ซึ่งอาจส่งผลกระทบทางจิตใจ

  

สำหรับผู้อ่านที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป

โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

** หมายเหตุยังไม่ใช่ต้นฉบับที่เสร็จสมบูรณ์ **

– – – – – – – – – – – – – – – – –

บทที่ 35 ดินแดนแห่งพันธสัญญา (8)

ในความมืดมิดนี้มองไม่เห็นอะไรเลยทั้งสิ้น หลินปั้นซย่าลองเดินไปข้างหน้าสองก้าวก็รู้สึกว่าหน้าผากชนเข้ากับอะไรแฉะๆ เขายื่นมือไปจับและรับรู้ได้ในทันทีว่าสิ่งนี้มันแหม่งๆ เล็กน้อย เพราะจับดูแล้วพบความเปียกชื้นอ่อนนุ่มเหมือนกับ…เนื้อที่ไม่มีผิวหนัง หลินปั้นซย่าไม่กล้าเดินหน้าต่อ เขาเอี้ยวตัวล้วงไฟฉายในกระเป๋าออกมากดปุ่มเปิด

ความมืดมิดทั่วพื้นที่ถูกส่องสว่างขึ้นมาในพริบตา หลินปั้นซย่ามองเห็นสถานที่ที่ตนเองอยู่อย่างชัดเจน เขาคล้ายจะอยู่ในห้องที่สร้างจากหิน บนพื้นหินมีเส้นสีขาววาดเป็นสัญลักษณ์ที่เขาไม่เข้าใจ และเมื่อเขาส่องไฟฉายขึ้นไปเหนือศีรษะ เสียงร้องด้วยความหวาดกลัวของเซอร์เก้ก็ดังขึ้น…

บนเพดานห้องมีศพมนุษย์แขวนไว้หลายสิบศพ ทั้งหมดล้วนถูกถลกหนังออก เผยให้เห็นเนื้อสีแดงสดเปลือยเปล่า พวกเขาถูกเชือกคล้องแขวนไว้บนเพดานในท่าบูชายัญ เลือดสดๆ หยดลงมาจากร่างของพวกเขาไม่ขาดสาย กระทบลงบนตัวและใบหน้าของหลินปั้นซย่า

เซอร์เก้ย่อมเห็นสิ่งนี้ด้วยเช่นกัน เขาแผดเสียงร้องอย่างหวาดผวา

หลินปั้นซย่าอยากจะปลอบเขา ปากข่มกลั้นอยู่นาน สุดท้ายก็พูดออกไปได้แค่คำว่าโอเค โชคดีที่เซอร์เก้ตั้งสติได้รวดเร็ว เขายกแขนเช็ดเลือดที่หยดลงบนหน้า ส่งยิ้มฝืดฝืนให้หลินปั้นซย่าบอกเป็นเชิงว่าตนไม่เป็นอะไรมาก

หลินปั้นซย่าเรียกหาหลี่ซูสองสามครั้ง แล้วเสียงของหลี่ซูก็ดังขึ้นอย่างอ่อนแรงจากมุมหนึ่งที่มองเห็นได้ไม่ชัด “อยู่ตรงนี้”

หลินปั้นซย่ารีบหันไปตามเสียงแล้วก็เห็นหลี่ซูนั่งอยู่บนพื้น “คุณไม่เป็นไรนะ”

“ไม่เป็นไร” หลี่ซูยันตัวลุกขึ้นยืน เขาถอดผ้าปิดปากและแว่นกันแดดออก ไอแค่กๆ สองสามที “ขอโทษที ครั้งนี้รุนแรงเกินไปหน่อย ครั้งหน้าจะอ่อนโยนกว่านี้”

หลินปั้นซย่าหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก

“ตอนนี้พวกเราน่าจะอยู่ใต้เมือง” หลี่ซูกล่าว “ระวังหน่อยนะ ข้างในนี้อาจจะมีอะไรอยู่” ในเมื่อศพที่แขวนอยู่เหนือศีรษะพวกเขาเป็นศพที่ยังสดใหม่ นั่นก็หมายความว่าผู้ที่ทำเรื่องทั้งหมดต้องอยู่แถวนี้แน่ๆ หลินปั้นซย่ายืนยันจนแน่ใจว่ากลับไปทางเดิมไม่ได้แล้ว พื้นตรงที่พวกเขาร่วงหล่นทลายลงมาโดยสมบูรณ์ ทำได้เพียงมุ่งเข้าไปด้านในเท่านั้น

หลินปั้นซย่ามองศพพวกนี้อยู่ครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ศพเหล่านี้คล้ายจะเป็นศพผู้หญิงที่มีผมสีดำทั้งหมด เนื่องจากถูกถลกหนังออกไปจึงไม่สามารถประเมินใบหน้าได้ แต่ดูจากรูปร่างแล้ว ลักษณะของศพทุกศพแทบไม่ต่างกันเลย

“บูชายัญเหรอ” หลี่ซูก็แปลกใจเช่นกัน “ยังดูใหม่อยู่เลย…” เขาเองก็ค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจจึงกล่าว “ออกไปจากที่นี่กันก่อนเถอะ”

ทั้งสามสืบเสาะหาเส้นทางอยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็ค้นพบทางเชื่อมคับแคบตรงมุมหนึ่งของห้อง หลี่ซูตัดสินใจลองเดินเข้าไปเสี่ยงดวงที่นั่น

เส้นทางนี้แคบอย่างยิ่ง ต้องเดินหันข้างเข้าไปเท่านั้น หลี่ซูนำหน้า ส่วนเซอร์เก้ถูกบีบให้ต้องอยู่รั้งท้ายเพราะรูปร่างบึกบึนของเขา หลังผ่านช่องนั้นมาได้อย่างยากลำบาก ในที่สุดทั้งสามก็มาถึงห้องอีกห้องหนึ่ง มันเป็นห้องโล่งๆ ไม่มีอะไรอยู่เลย เพียงแต่บนผนังมีอักขระเขียนไว้เละเทะ เหมือนจะเป็นภาษารัสเซีย หลินปั้นซย่าอ่านไม่ออกจึงได้แต่ถามหลี่ซูว่ามันเขียนไว้ว่าอย่างไร

หลี่ซูสีหน้าย่ำแย่สุดๆ “พวก…ข้อความขอความช่วยเหลือ”

ช่วยด้วย วิปริต ปีศาจ…คำพวกนี้ปรากฏขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า ราวกับคนที่สิ้นหวังทิ้งตัวอักษรเหล่านี้ไว้ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตอย่างหมดหนทาง

เซอร์เก้ยืนอยู่ข้างๆ พวกเขา แน่นอนว่าเขาอ่านข้อความเหล่านี้ออกเช่นกัน เขากอดตัวเองแน่นคล้ายหนาวสั่นเล็กน้อย กลืนน้ำลายไม่หยุด ตาก็ชำเลืองมองไปด้านหลังแทบตลอดเวลา ดูตึงเครียดทั้งยังวิตกจริต

หลี่ซูเห็นดังนั้นจึงถามไถ่เขาว่าเป็นอะไร

“เจ็บหลังนิดหน่อย” เซอร์เก้เอ่ยเสียงแหบพร่า “ไม่รู้ว่าบาดเจ็บตอนกลิ้งตกลงมาหรือเปล่า”

หลี่ซูกล่าว “ผมช่วยดูให้”

เขาสั่งให้เซอร์เก้หันหลัง ครั้นยกไฟฉายในมือส่อง หน้าเขาก็เปลี่ยนสีทันที จากมุมที่หลินปั้นซย่ายืนอยู่ก็มองเห็นแผ่นหลังของเซอร์เก้เช่นกัน กลางหลังของเขามีรอยสีเขียวช้ำดำม่วง หากเป็นรอยธรรมดาก็แล้วไป แต่รูปร่างของรอยนี้เป็นรอยฝ่ามือประทับอย่างเห็นได้ชัด นิ้วทั้งห้าครบถ้วนเด่นชัด

หลี่ซูเหลือบมองเซอร์เก้ “คุณเริ่มเจ็บตั้งแต่เมื่อไหร่ ตั้งแต่ตกลงมาเหรอ”

เซอร์เก้กล่าว “เปล่า เพิ่งเริ่มเจ็บตอนที่ลอดทางเชื่อมนั่นมาแล้ว”

หลี่ซูเลียริมฝีปาก เอ่ยเสียงคลุมเครือ “ไม่เป็นไร แค่ไปกระแทกเข้า” เขาเอ่ยพลางส่องไฟฉายไปทั่วทั้งห้อง ครั้นแสงของไฟฉายส่องไปที่มุมหนึ่งของห้อง ขนอ่อนบนตัวเขาก็ลุกชันจนแทบระเบิดออก ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่มุมห้องปรากฏคนคนหนึ่งนั่งขดตัวอยู่ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง เส้นผมยาวเหยียดบดบังใบหน้า มองเห็นใบหน้าไม่ชัด ทว่าดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลคู่นั้นลูกตากลับเรียวยาวตั้งตรงเหมือนกับตาแมว ดูน่ากลัวราวกับผีร้ายที่โผล่ออกมา

“FUCK!…” หลี่ซูหลุดสบถ มือคว้าปืนลูกซองเตรียมโจมตี

แต่ยังไม่ทันได้ขึ้นลำกล้องปืน เซอร์เก้ก็มาขวางไว้เสียก่อน เขาร้องเสียงหลง “ยิงไม่ได้ เธอเป็นเพื่อนร่วมทีมของผม…”

“ใคร…ใคร!” หลี่ซูสติแตกไปแล้ว “เพื่อนร่วมทีมคนไหน”

“อิริน่า เป็นอิริน่า!!!” เซอร์เก้จ้องดวงตาแดงฉานคู่นั้นตะโกนก้อง “เธอยังไม่ตาย เธอยังไม่ตาย!!”

หลี่ซูเหลือบมองเซอร์เก้อย่างไม่อยากจะเชื่อ และในเวลาที่ทั้งสองไม่ได้พูดอะไรนั้น ผู้หญิงที่เหมือนกับอิริน่าราวกับพิมพ์เดียวกันก็ไต่ขึ้นเพดานอย่างกับแมงมุม หลี่ซูเหวี่ยงเซอร์เก้ออก หันปืนไปทางเพดานพลันลั่นไก แต่ก็ไม่แม่นยำนัก ยิงโดนแค่ขาของเธอเท่านั้น เลือดสดไหลหลั่งนองพื้น อิริน่าส่งเสียงกรีดร้องหวีดแหลมออกมา แล้วหนีตามเพดานไปทางห้องอื่น และหายไปในความมืดทั้งอย่างนั้น

“อิริน่า…!!!” เซอร์เก้ตะโกนลั่น ไม่นึกว่าเขาตั้งใจจะไล่ตามไป

หลินปั้นซย่ารีบเข้าไปขวางเขาไว้ ร้องบอกว่า “เซอร์เก้ ตั้งสติหน่อย อิริน่าตายไปแล้ว…สิ่งที่คุณเห็นไม่ใช่เธอเลยสักนิด!!!”

เซอร์เก้ผงะ พลันร้องไห้โฮออกมา ปากพร่ำบอกว่าตนเป็นคนฆ่าอิริน่า เป็นฆาตกรสมควรตาย…

“หุบปาก” หลี่ซูตะคอกเสียงดังลั่น “มีคนมา!!”

ทั้งสามเงียบเสียงพร้อมกัน

ดังคาด หลี่ซูตะโกนบอกได้ไม่นาน เสียงฝีเท้าไพเราะก็ดังลอดมาจากความมืด หลี่ซูตวัดไฟฉายในมือส่องไปทางนั้น หลินปั้นซย่าไม่นึกเลยว่าจะเห็นใบหน้าของหลี่เย่อยู่ในช่องทางเดินนั่น

“ชิบ!” วันนี้หลี่ซูเอาคำหยาบแทบทั้งปีนี้ออกมาพูดจนเกือบหมดโควตา เขามองหลี่เย่ บนใบหน้าไม่มีแววยินดีแม้แต่เสี้ยว คางเชิดขึ้นเล็กน้อยและเอ่ยกับหลี่เย่ว่า “มานี่”

หลี่เย่เดินมาตรงหน้าหลี่ซู

จากนั้นหลี่ซูก็เอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ “คุกเข่าลง เลียเท้าฉัน”

หลินปั้นซย่า “…” มันออกจะฉุกละหุกไปหน่อยแล้ว

นึกไม่ถึงว่าหลี่เย่ได้ยินดังนั้นก็จะชันเข่าข้างหนึ่งเพื่อยกขาหลี่ซูมาวางไว้บนเข่าตัวเองจริงๆ หลี่ซูก่นด่า ลั่นไกปืนโดยไม่รีรอ ปลิดชีวิต ‘หลี่เย่’ ไปอีกครั้ง เมื่อดินเลนสีดำละลายไปต่อหน้าต่อตาพวกเขา หลี่ซูก็ชี้ไปที่มันแล้วกล่าวกับเซอร์เก้ว่า “เห็นหรือยัง นี่แหละคือจุดจบของพวกตัวปลอม”

เซอร์เก้ส่งเสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาขณะเอ่ย “อิริน่า อิริน่าที่น่าสงสารของฉัน…”

หลินปั้นซย่ากระซิบถาม “ปกติคุณคุยกับหลี่เย่แบบนี้เหรอ”

หลี่ซูยิ้มอ่อน “ใช่ แต่ปกติถ้าผมพูดแบบนั้นจะเป็นเขาที่ยิงปืนใส่ผมแทน” เรื่องที่จะให้เลียเท้านั้นเป็นไปไม่ได้แน่นอน แค่ไม่หักขาหลี่ซูทิ้งก็นับว่าหลี่เย่อารมณ์ดีมากแล้ว

หลินปั้นซย่า “…”

เซอร์เก้จดจ้องดินโคลนที่ละลายจากตัวหลี่เย่ ดวงตาก็พลันสว่างวาบราวกับคว้าเส้นฟางยื้อชีวิตไว้ได้ ก่อนกล่าวว่า “ที่ไหลออกมาจากตัวอิริน่าเป็นเลือด เธอยังไม่ตาย…”

หลี่ซูเอ่ยเสียงเมินเฉย “คุณผิดแล้ว ‘มัน’ ไม่มีทางทำอะไรผิดพลาดได้โง่บรมขนาดนั้นแน่…ตราบใดที่ไอ้ตัวนี้ไม่บาดเจ็บจนถึงแก่ชีวิต สิ่งที่จะไหลออกมาก็จะเป็นเลือดทั้งนั้น นอกจากว่าคุณจะระเบิดหัวมันทิ้งซะ คุณถึงจะรู้ว่ามันเป็นของปลอม”

ฟังคำพูดนี้จบเซอร์เก้ก็เผยสีหน้าที่ทั้งปวดร้าวและว่างเปล่าออกมา ท้ายที่สุดเขาก็ไม่ได้พยายามโต้เถียงหลี่ซูอีก

หลินปั้นซย่าสังเกตได้ว่าสภาพจิตใจของเซอร์เก้ในตอนนี้คล้ายจะตกอยู่ในสภาวะแปรปรวน เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย บางครั้งก็ยังพอพูดอะไรที่สมเหตุสมผลได้ แต่อย่างตอนที่เห็นอิริน่าเมื่อกี้นี้กลับตั้งใจจะไล่ตามไปโดยไม่ยั้งคิด

หลังจากฝืนปรับอารมณ์ของเซอร์เก้ได้อย่างทุลักทุเลแล้ว ทั้งสามก็มุ่งหน้าออกสำรวจต่อ หนนี้พวกเขาระวังตัวขึ้นมาก ทุกครั้งที่เข้าไปยังห้องหนึ่งก็จะตรวจสอบทุกซอกทุกมุม เมื่อเดินสำรวจไปนานเข้า หลินปั้นซย่าก็คลำเจอหลักเกณฑ์บางอย่างได้ ชัดเจนแล้วว่าที่นี่มีห้องศิลาที่เหมือนกันทุกอย่างอยู่มากมายนับไม่ถ้วน บางห้องโล่งว่างไม่มีอะไรเลย บางห้องมีของใช้ในชีวิตประจำวันของมนุษย์จัดวางไว้ แต่ไร้ซึ่งร่องรอยการใช้ชีวิตของมนุษย์

ในความมืดมิด เวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างไม่รู้วันรู้คืน กระทั่งหลินปั้นซย่ารู้สึกตัวอีกทีก็เป็นเวลาเที่ยงคืนแล้ว

“พักผ่อนกันก่อนเถอะ” หลี่ซูเหนื่อยเล็กน้อย เมื่อตอนที่เขาตกลงมาก็เจ็บมือแปลบๆ ไม่รู้ว่ากระดูกหักไปแล้วหรือเปล่า แล้วตอนนี้ความเจ็บปวดนั้นก็ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เขาเลยเสนอขึ้น “นอนก่อนสักพักหนึ่งค่อยหาทางออกต่อ”

หลินปั้นซย่าและเซอร์เก้ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องคัดค้าน

ต่อมาพวกเขาก็มองหาห้องที่มีเตียง คนหนึ่งเฝ้ายาม อีกสองคนพักผ่อน คนที่เฝ้ายามต้องเปิดไฟฉายส่องประตูไว้ เตรียมป้องกันไม่ให้มีสิ่งอื่นรุกล้ำ หลินปั้นซย่าง่วงแล้วจริงๆ จึงไปนอนลงบนเตียงหินแข็งๆ เอนหัวลงแล้วผล็อยหลับไป โดยรอบมืดมิดและเขาก็ไม่รู้ว่าตนหลับไปนานแค่ไหนแล้ว แต่เมื่อตื่นมาอีกครั้ง เปิดไฟฉายส่องก็พบว่าหลี่ซูและเซอร์เก้หายตัวไปแล้ว เขานอนอยู่ในห้องหินโล่งๆ เพียงลำพัง รอบทิศเงียบสงัด

หลินปั้นซย่ายันตัวลุกขึ้นจากเตียง เรียกชื่อของหลี่ซูแต่กลับไร้การขานตอบ

เขาตรวจสอบรอบๆ ก็พบว่าบนพื้นด้านนอกมีรอยเลือดไหลเป็นทาง หัวใจเขาบีบรัด เดาได้ทันทีว่าต้องเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับหลี่ซูแน่

“หลี่ซู? หลี่ซู?” หลินปั้นซย่าเรียกชื่อของหลี่ซูพลางเดินอยู่ในความมืด รอบทิศล้วนเป็นห้องที่เหมือนกันราวกับถอดแบบมา เสมือนว่าเขาเข้ามายังเขาวงกตประหลาด “หลี่ซู? คุณอยู่ไหนน่ะ หลี่ซู???”

เขามุ่งหน้าสำรวจต่อไปอีกระยะหนึ่งแต่กลับไม่ได้อะไรกลับมาเลยสักอย่าง จนกระทั่งเดินไปนอกห้องห้องหนึ่ง ข้างหูเขาก็เหมือนมีเสียงฝีเท้าที่ฟังดูวุ่นวายดังขึ้นมาไม่ขาด หลินปั้นซย่าชะงัก หันมองไปทางต้นเสียง ไม่นึกว่าเลยว่าจะเห็นคนจีนที่เลือดนองหน้า อีกฝ่ายเห็นหลินปั้นซย่าก็ชะงักเช่นกัน จากนั้นก็ตะโกนเสียงดัง “วิ่ง!”

หลินปั้นซย่ายังไม่ทันไหวตัวก็ถูกเขาคว้ามือไป ชั่วพริบตาเดียวทั้งสองก็ห้อตะบึงไปด้วยกัน

วินาทีสุดท้ายผ่านไป หลินปั้นซย่าก็หันไปมองด้านหลัง ในความมืดมิดมีดวงตาที่ส่องแสงสีเขียวนับไม่ถ้วน ใบหน้าของมนุษย์มากมายเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่อยู่ในความดำมืด มองแวบแรกเหมือนกับว่าในโถงทางเดินยาวเหยียดอันคับแคบนี้มีคนหลายสิบคนยืนเบียดอัดแน่น…

หลินปั้นซย่าวิ่งห้อมาตลอดทางโดยไม่รู้ว่าวิ่งไปนานแค่ไหน กระทั่งมองไม่เห็นดวงตาด้านหลังแล้ว เขาถึงได้พิงกำแพงพักหายใจหอบ และมีเวลาหันไปมองคนจีนข้างๆ ตนเอง คนคนนั้นเป็นผู้ชายวัยหนุ่ม กำลังหอบอย่างหายใจไม่ทันเช่นกัน ครั้นเห็นหลินปั้นซย่ามองมาก็เอ่ยเสียงตะกุกตะกัก “คะ…คุณเป็นคนใช่มั้ย ใช่…คนหรือเปล่า”

หลินปั้นซย่าจนปัญญา “คุณไม่รู้ว่าผมเป็นคนหรือเป็นผีก็ลากผมมาด้วยเนี่ยนะ?”

คนคนนั้นกล่าว “ไม่เป็นไร ถ้าคุณเป็นผีผมก็ยังมีเจ้านี่ไง” เขาล้วงปืนพกออกมาจากกระเป๋ากางเกง โบกไปมาตรงหน้าหลินปั้นซย่า

“คุณเข้ามาทีหลังใช่มั้ย ผมรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องส่งคนเข้ามา…แต่พวกคุณเข้ามาแล้วพาตัวอะไรมาด้วยกันแน่เนี่ย โอ้พระเจ้า” คนคนนั้นพูดอุบอิบ ปาดเหงื่อออกแล้วบ่น “ที่นี่วุ่นวายมากพอแล้ว ไม่นึกว่าพวกคุณจะมาเพิ่มความลำบากขึ้นไปอีก”

หลินปั้นซย่าได้ยินเขากล่าวเช่นนี้ก็ตระหนักได้ทันทีว่าเขาเป็นหนึ่งในสมาชิกของทีมก่อนหน้า จึงเอ่ยถาม “รู้จักหลี่ซูมั้ย”

“หลี่ซู? คุณรู้จักเขา?” คนคนนั้นกล่าว “ผมชื่อฝางเวินซู เป็นผู้บันทึกในทีมหลี่ซู”

“ผมชื่อหลินปั้นซย่า เป็นผู้สังเกตการณ์” ตอนพูดเรื่องนี้หลินปั้นซย่ารู้สึกกระดากปากเล็กน้อย เพราะเขาคิดว่าตนยังห่างชั้นกับผู้สังเกตการณ์คนอื่นมาก แล้วก็ไม่ได้มีความชำนาญในการคุ้มครองชีวิตใดๆ เป็นพิเศษด้วย

“สถานการณ์แย่มาก” ฝางเวินซูกล่าว “คนที่พวกคุณพามาเหมือนจะไปกระตุ้นสิ่งนั้นเข้าแล้ว การเปลี่ยนแปลงโดยรอบรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ…” เขาหันมองไปรอบๆ เผยสีหน้ากลัดกลุ้มออกมา “ต้องกลับ ยังไงก็ต้องกลับไป”

หลินปั้นซย่ากล่าว “กลับไป? กลับไปที่ไหน”

“ก็เขตใจกลางของที่นี่น่ะสิ” ฝางเวินซูกล่าว “สิ่งที่พวกเราตามหาอยู่ที่นั่น” เขาเอ่ยพลางวาดมือ “ที่นั่นมีลานแท่นบูชาที่กว้างมากๆ สิ่งที่เราตามหาอยู่ข้างบนนั่น โอ้พระเจ้า จากที่นี่ไปมันอยู่ไกลแค่ไหนกันแน่เนี่ย…” เขาเริ่มบ่นกระปอดกระแปด

หลินปั้นซย่าไม่มีความรู้ด้านการค้นหาเส้นทางเลยแม้แต่น้อย และไม่เข้าใจด้วยว่าสถานการณ์ตอนนี้เป็นอย่างไรกันแน่ จึงได้แต่เดินตามฝางเวินซูกลับไป

ระหว่างทางหลินปั้นซย่าถามฝางเวินซูว่าสิ่งนั้นคืออะไรกันแน่ ฝางเวินซูบอกว่าเขาเองก็ไม่รู้แน่ชัด แต่ยิ่งเข้าใกล้สิ่งนั้น สภาพแวดล้อมโดยรอบก็จะยิ่งเปลี่ยนแปลงรุนแรงขึ้น ยกตัวอย่างเช่นบางทีในทุ่งรกร้างจะปรากฏแค่สิ่งที่คุณปรารถนามากที่สุดเท่านั้น ครั้นเมื่อมาถึงที่นี่ ตราบใดที่คุณเผลอผ่อนคลายจิตใจลงเพียงนิดเดียว สิ่งที่จิตใต้สำนึกของคุณปรารถนาก็จะมาแสดงอยู่ตรงหน้า…

“ถ้าผมอยากออกไปจากที่นี่ล่ะ?” หลินปั้นซย่าถามอย่างข้องใจ “ทำไมมันถึงไม่ส่งผมออกไป”

“แน่นอนว่าคุณจะคิดอย่างนั้นก็ได้” ฝางเวินซูมองหลินปั้นซย่าด้วยสายตาลุ่มลึก “เพียงแต่ในวินาทีที่ความปรารถนาของคุณเป็นจริงแล้ว ตัวคุณก็จะตกเป็นของมันเช่นกัน”

หลินปั้นซย่ากลายเป็นคนใบ้ เขาคิดไม่ถึงกฎเกณฑ์นี้เลยจริงๆ เมื่อความปรารถนาบรรลุผล ขณะเดียวกันมันก็เป็นจุดเริ่มต้นของการสังเวย ดังนั้นจึงถูกลิขิตไว้แล้วว่านี่นับเป็นพาราด็อกซ์* อย่างหนึ่ง ซึ่งก็แน่ชัดแล้วว่ามันย่อมไม่มีทางปล่อยช่องโหว่นี้ไปแน่ อย่างไรการออกไปจากที่นี่ก็ยังมีวิธีอีกมากมาย

ขณะทั้งสองกำลังสนทนากัน หลินปั้นซย่าพลันหยุดฝีเท้า เอ่ยอย่างลังเลว่า “คุณได้ยินเสียงอะไรหรือเปล่า”

ฝางเวินซูกล่าว “คุณอย่ามาหลอกผมนะ”

ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้นแต่เขาก็ยังระมัดระวังตัวขึ้นอยู่ดี ทั้งสองเบาฝีเท้าอย่างสุดความสามารถ แต่ถึงแม้จะทำเช่นนั้นแล้ว ในตอนที่เลี้ยวตรงหัวมุมหนึ่งฝางเวินซูก็ตกใจจนตัวโยนเพราะร่างของใครบางคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า เขาเกือบจะยิงปืนออกไปแล้ว โชคดีที่หลินปั้นซย่าขวางเขาไว้ทัน หลินปั้นซย่ารู้จักคนที่อยู่ตรงหน้า ร้องเอ่ยอย่างตกใจระคนยินดี “เซอร์เก้!!”

เซอร์เก้หันกลับมามองหลินปั้นซย่า

หลินปั้นซย่ากำลังจะเดินเข้าไป แต่เซอร์เก้กลับชูนิ้วแตะริมฝีปากเป็นการบอกให้หลินปั้นซย่าเบาเสียง เขาหันกลับไปอีกครั้ง รวบรวมสมาธิจ้องเข้าไปในห้องศิลาตรงหน้าราวกับด้านในนั้นมีสัตว์ประหลาดหายาก หลินปั้นซย่าและฝางเวินซูเดินไปด้านหลังเซอร์เก้ พวกเขามองลอดช่องข้างตัวเซอร์เก้ไปแล้วก็ได้เห็นภาพในห้องนั้นเช่นเดียวกัน

ในห้องนั้นมีคนอยู่เจ็ดแปดคน คนเหล่านี้บ้างคุกเข่า บ้างหมอบคลาน พวกเขาล้วนกำลังล้อมรอบมุดหัวกัดแทะศพที่ไม่รู้ว่าเป็นตัวอะไร บนใบหน้าเต็มไปด้วยความอิ่มเอม และไม่นึกเลยว่าเจ็ดแปดคนนี้จะมีใบหน้าเหมือนกันกับอิริน่า

ศีรษะของฝางเวินซูแทบระเบิดออกมา ถึงเขาจะไม่รู้จักอิริน่าแต่ก็รู้ดีว่าสิ่งตรงหน้านี้ไม่ใช่คนแน่นอน เขากลืนน้ำลาย ดึงแขนเสื้อของหลินปั้นซย่าและกระซิบ “รู้จักคนในห้องเหรอ”

หลินปั้นซย่ากล่าว “…ถือว่า…รู้จักได้มั้ยนะ เธอเป็นผู้บันทึกในทีมผม”

“ไอ้ตัวขน* ข้างๆ นี่เป็นเพื่อนกับมันหรือเปล่า” ฝางเวินซูถาม

หลินปั้นซย่าพยักหน้ารับ

ฝางเวินซูได้ยินดังนั้นก็ขึ้นลำกล้องปืน หลินปั้นซย่าเห็นว่าไม่ชอบมาพากลจึงยื่นมือออกไปขวางเขาไว้ เอ่ยกระซิบ “คุณจะทำอะไร”

“ก็ฆ่าไอ้ตัวขนนั่นน่ะสิ” ฝางเวินซูกล่าว “คุณอยากรู้ไม่ใช่เหรอว่าตัวที่ไล่ตามผมเมื่อกี้คือตัวอะไร” เขามองไปยังสิ่งที่อยู่ในห้องที่คล้ายจะกินอิ่มแล้ว “ผมจะบอกให้ มันก็คือตัวที่คุณเห็น…”

“ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เขาสร้างขึ้นมา…” ฝางเวินซูประณามเซอร์เก้อย่างเดือดดาล “ถ้าไม่ฆ่าเขา ก็ต้องทำให้จิตใต้สำนึกของเขาหยุดลง ไม่งั้นพวกเราจะตายกันหมด!”

หลินปั้นซย่าตาเป็นประกาย “ทำไมต้องฆ่าทันทีล่ะ ต่อยเขาให้สลบไปไม่ได้เหรอ”

ฝางเวินซูตะลึงงัน “หืม? กะ…ก็…ลองดูก็ได้?”

เซอร์เก้ฟังภาษาจีนไม่ออก และไม่สนใจด้วยว่าพวกเขาคุยอะไรกัน สายตาที่ทอดไปยังอิริน่าทั้งอ่อนโยนและนุ่มนวล ราวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ใช่สัตว์ประหลาดแต่เป็นคู่หูที่เขาคบหามาหลายปี หลินปั้นซย่าหลิ่วตาให้คนข้างกาย ฝางเวินซูก็สบโอกาส ยกมือสับเข้าที่คอเซอร์เก้ไปหนึ่งที อีกฝ่ายไม่ทันไหวตัวจึงครางอืออาแล้วตัวอ่อนเปลี้ยสลบลงกับพื้น

ในวินาทีที่เซอร์เก้สลบเหมือด อิริน่าที่อยู่ในห้องก็หยุดนิ่ง เธอไม่ได้กินอาหารต่อแล้ว จากนั้นทั้งหมดล้วนค่อยๆ หันหน้ามามองทั้งสองที่ยืนอยู่หน้าห้องด้วยดวงตาสีฟ้าน้ำทะเลอันเย็นชา

ฝางเวินซูกลืนน้ำลายหลายอึกก่อนพูดว่า “พวกเธอจ้องเราสองคนทำไม จู่ๆ ก็กลับตัวกลับใจเหรอ”

หลินปั้นซย่าคิดในใจว่าตัวเขาเองจะปัญญาอ่อนก็ช่างปะไร แต่ฝางเวินซูนี่ทำไมถึงได้ปัญญาอ่อนยิ่งกว่าเขาอีกเนี่ย เอ่ยขึ้นอย่างละเหี่ยใจ “สายตาพวกมันเหมือนกำลังซาบซึ้งใจอยู่เหรอ รีบวิ่งสิโว้ย!!”

เพิ่งจะสิ้นเสียง อิริน่าเจ็ดแปดคนที่ทั้งร่างเต็มไปด้วยเลือดก็วิ่งกรูกันออกมา โถมเข้าหาทั้งสองคน

อันที่จริงมาออกตัววิ่งเอาตอนนี้ก็สายไปหน่อยแล้ว แค่ระยะห่างเพียงไม่กี่ก้าว สิ่งเหล่านั้นก็มาอยู่ตรงหน้าพวกเขา ฝางเวินซูยิงปืนออกไปโดยไม่ลังเล หลินปั้นซย่าเองก็คว้ากริชออกมา

เพราะระยะห่างกระชั้นชิดเกินไปจริงๆ เมื่อจัดการกับสัตว์ประหลาดตัวหนึ่งได้แล้ว หลินปั้นซย่าก็ถูกอีกสองตัวพุ่งเข้าหาจนเซล้มลงบนพื้น พวกเธออ้าปากเตรียมกัดหลินปั้นซย่าราวกับกำลังจะกินอาหารรสชาติล้ำเลิศ สีหน้าอำมหิตอย่างสุดขั้ว หลินปั้นซย่าส่งเสียงร้อง ตวัดกริชในมือออกไป เป็นอย่างที่หลี่ซูบอก ถ้าหากไม่แทงโดนจุดตายของพวกมันสิ่งที่ไหลออกมาจะเป็นเลือด แต่ถ้าแทงเข้าจุดตายเมื่อไหร่ พวกมันจะละลายเป็นกองโคลนที่กรีดร้องได้แล้วหลอมจมไปกับพื้นดิน หลินปั้นซย่าฆ่าตัวที่อยู่บนหน้าอกตัวเองได้ก็หันไปจัดการกับตัวข้างหลัง จากนั้นก็วิ่งไปช่วยฝางเวินซู เมื่อกำจัดตัวสุดท้ายได้สำเร็จ ทั้งสองก็หายใจทั่วท้องได้เสียที

สิ่งเดียวที่พอจะดีใจได้คือพวกมันใช้ฟันกัดเป็นอย่างเดียว แต่พวกหลินปั้นซย่ายังมีอาวุธ ดังนั้นหลังจากแลกมาด้วยรอยกัดบนตัวมากกว่ายี่สิบรอยแล้ว พวกเขาก็จัดการหายนะครั้งนี้ได้สำเร็จ

ฝางเวินซูโชคไม่ดีนักถูกกัดจนเลือดท่วมใบหน้า เขานั่งลงกับพื้น รู้สึกโมโหจนด่าบุพการีออกมา เมื่อลุกขึ้นก็เตะเซอร์เก้ไปรอบหนึ่งพลางเอ่ย “ไม่กลัวศัตรูฉลาด กลัวก็แต่เพื่อนร่วมทีมโง่”

หลินปั้นซย่าเองก็ถูกกัดเช่นกัน ท่อนแขนเป็นแผลเหวอะเลือดอาบ เขานั่งหอบอยู่บนพื้นขณะกล่าว “อิริน่าที่คุณเห็นมีกี่ตัว”

“อย่างน้อยยี่สิบตัว” ฝางเวินซูกลืนน้ำลาย “ตอนนี้ผมล่ะสงสัยจริงๆ ว่าจะมีไอ้ตัวนี้โผล่ไปทั่วทุกที่แล้ว”

หลินปั้นซย่าคิดในใจว่าจะโดนกัดอีกไม่ได้ ถ้าโดนอีกรอบเขาก็จะถูกเคี้ยวแทนหมากฝรั่งแล้ว

“พวกเราไปเขตใจกลางที่นี่กันก่อนเถอะ” ฝางเวินซูขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน “รออยู่อย่างนี้ก็ไม่ได้อะไร”

หลินปั้นซย่ากล่าว “โอเค”

เดิมทั้งสองอยากปล่อยเซอร์เก้ไว้ในที่ที่ยังนับว่าปลอดภัย แต่ฝางเวินซูกลัวว่าเขาจะตื่นขึ้นมากลางคันแล้วเริ่มคิดถึงอิริน่าคู่หูผู้น่ารักอีก สุดท้ายจึงไม่กล้าทิ้งเขาไว้ลำพัง

ด้วยเหตุนี้ สุดท้ายก็กลายเป็นว่าหลินปั้นซย่าแบกเซอร์เก้แล้วเดินตามหลังช้าๆ ส่วนฝางเวินซูสำรวจเส้นทางอยู่ด้านหน้า แต่เขาเดินมุ่งหน้าไปได้ไม่ไกล สีหน้าก็ดูอยู่ไม่สุข หันไปมองข้างหลังอยู่ตลอด

หลินปั้นซย่าเห็นดังนั้นก็ถามว่าเขาเป็นอะไร

“ไม่ใช่…” ฝางเวินซูเอ่ยเสียงแผ่ว “เหมือนมีอะไรตามหลังพวกเรามา”

หลินปั้นซย่าชะงัก “คืออะไร”

“ไม่รู้” ฝางเวินซูกล่าว

“งั้นพวกเรารีบไปกันเร็วๆ เถอะ” หลินปั้นซย่าไม่อยากสู้ตัวต่อตัวกับอิริน่าที่มีนับไม่ถ้วนนั่นอีกแล้ว

ฝางเวินซูพยักหน้าและเร่งฝีเท้าให้ไวขึ้นเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็มีเซอร์เก้ที่ไม่รู้จะหนักไปถึงไหนถ่วงแข้งถ่วงขาพวกเขาอยู่ดี ต่อให้ทั้งสองอยากเร่งฝีเท้าแต่ก็เร็วขึ้นได้ไม่เท่าไร ผ่านไปครู่หนึ่งหลินปั้นซย่าก็รู้ว่าสิ่งที่ฝางเวินซูบอกว่ากำลังตามพวกเขาอยู่คืออะไร สิ่งนั้นซ่อนเร้นอยู่ในความมืดที่ไกลออกไป สามารถได้ยินเสียงมันขยับยั้วเยี้ยอยู่บนพื้นได้แว่วๆ ครั้นพวกเขาหันไปดูกลับไม่เห็นอะไรเลยสักอย่าง มองเห็นเพียงห้องและทางเดินอันไร้ที่สิ้นสุด เมื่อพวกเขาหันกลับไปมองด้านหน้า สิ่งนั้นก็ตามมาอย่างต่อเนื่อง หลินปั้นซย่านั้นยังดี แต่เห็นได้ชัดว่าฝางเวินซูชักจะเหลืออดแล้ว เขาเริ่มหันกลับไปมองข้างหลังบ่อยขึ้น ทำให้หลินปั้นซย่าฉุกคิดถึงท่าทางของเซอร์เก้ก่อนหน้านี้ เขากลั่นกรองออกมาก่อนเอ่ย “ไม่อย่างนั้นเราจัดการไอ้นั่นก่อนมั้ย”

ฝางเวินซูยิ้มแกน “คุณจะแน่ใจได้ไงว่าพวกเราจะจัดการมัน หรือมันจะจัดการพวกเรา”

หลินปั้นซย่าหมดคำจะโต้ตอบ

“ช่างมัน” ฝางเวินซูกล่าว “เดินหน้ากันต่อเถอะ…”

หลินปั้นซย่าเอ่ยโอเคตอบรับ

ทั้งสองเดินหน้าต่อไปหนึ่งชั่วโมงกว่า ในที่สุดก็เป็นหลินปั้นซย่าที่ทนไม่ไหว กล่าวว่าตนอยากพักสักครู่หนึ่ง ฝางเวินซูเองก็เห็นด้วย เขาเอ่ยเสียงแผ่ว “คุณว่าสิ่งที่ตามพวกเรามามันคือตัวอะไรกันแน่”

“ไม่รู้สิ” หลินปั้นซย่าตอบ “ผมคิดว่า…เป็นอะไรก็ไม่สำคัญหรอก ขอแค่ตอนนี้คุณรู้ว่ามันยังไม่มีความคิดที่จะฆ่าคุณก็พอแล้ว”

ฝางเวินซูยิ้มแกน “พวกผู้สังเกตการณ์เป็นสัตว์ประหลาดกันหมดจริงๆ ด้วย ผมยอมให้มันฆ่าผมตายเร็วๆ เสียดีกว่าโดนปั่นประสาทอยู่แบบนี้” ความกลัวก่อนตายทำให้คนทุกข์ทรมานมากกว่าความตายจริงๆ เสียอีก แต่เห็นได้ชัดว่าหลินปั้นซย่าที่หน้าตาเหลอหลาไม่รู้อะไรเลยตรงหน้านี้ไม่มีทางสัมผัสถึงมัน

ขณะที่พวกเขาพูดคุยกัน เซอร์เก้ที่ถูกสับคอจนสลบก็ครางอืออาออกมา หลินปั้นซย่าได้ยินเสียงร้องของเขาก็ตึงเครียดขึ้น ยื่นมือไปสับคอให้สลบไปอีกครั้งโดยไม่ลังเล ฝางเวินซูเห็นเขาเด็ดขาดขนาดนี้ก็ชูนิ้วโป้งให้เป็นเชิงกดถูกใจ

ในความมืด เสียงหนืดหนึบนั่นดังขึ้นอีกครั้ง เพียงแต่ครั้งนี้ต้นเสียงของมันใกล้พวกเขาเข้ามาเล็กน้อย

สุดท้ายฝางเวินซูก็ทนไม่ไหว ยกไฟฉายขึ้นมาส่องหาอย่างละเอียด เขาหาอยู่ครู่หนึ่งแต่แล้วจู่ๆ ก็ยื่นมือไปลูบผนัง ไม่คิดเลยว่าจะมีของเหลวเหมือนโคลนสีดำเปรอะติดมือเขา

“ไม่…ไม่มีทางน่า มันไม่ควรเป็นอย่างนี้สิ” ฝางเวินซูเบิกตากว้าง เขามองไปที่ผนัง ตอนนั้นเองผนังที่เดิมเป็นหินก็ค่อยๆ ละลายยวบลง ก่อเป็นผิวสัมผัสที่เหมือนโคลนสีดำนั่น มันกระตุกขึ้นมาราวกับหัวใจของมนุษย์ที่กำลังเต้น มีบางสิ่งในนั้นส่งเสียงกรีดร้อง เริ่มพยายามโผล่ออกมาจากด้านใน ฝางเวินซูที่ยืนอยู่ข้างเขาเห็นสิ่งที่บังเกิดขึ้นมาอย่างฉับพลันนี้ก็สะดุ้งตกใจ ทว่าเขายังไม่ทันไหวตัว ก็เห็นใบหน้าหนึ่งปรากฏอยู่ในโคลน มันฝืนเบียดใบหน้าตัวเองออกมาจากกองโคลนนั่นคล้ายอยากจะทะลุออกมา

“นี่มันอะไรวะเนี่ย?!” ฝางเวินซูตระหนกจนร้องลั่น

หลินปั้นซย่ากล่าว “อย่ามัวแต่อึ้ง…รีบวิ่ง…!”

เขาตะคอกจบก็ลากร่างของเซอร์เก้วิ่งมุ่งหน้าไป โดยที่มีฝางเวินซูวิ่งตามหลังเขามา ไม่กล้าหันกลับไปมองเลย

ทั้งสองห้อตะบึงไปตลอดทางอีกครั้ง เมื่อแน่ใจว่าเสียงด้านหลังหายไปแล้วก็พิงผนังหยุดฝีเท้า แรงกายของหลินปั้นซย่าฟื้นตัวไม่ทันเล็กน้อย เขาไม่ใช่แค่ต้องวิ่งเอาชีวิตรอด แต่ยังต้องลากเซอร์เก้ที่หนักเกินร้อยชั่ง* มาด้วย อย่างกับวิ่งพลางยกเวตแท้ๆ ห้องที่พวกเขามาหยุดพักเป็นห้องที่มีเตียงอยู่หลังหนึ่งพอดี ฝางเวินซูหอบหายใจ คลำทางไปนั่งบนเตียงแล้วนอนแหมะอยู่บนนั้นก่อนเอ่ย “วิ่งไม่ไหวแล้ว ก้าวไม่ออกแล้ว…”

เขาหอบเหนื่อยอยู่อย่างนั้นสักพักกว่าจะกลับมาหายใจคล่องได้อย่างยากลำบาก จากนั้นถึงค่อยหยัดกายลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างทุลักทุเล หมายจะพูดอะไรบางอย่างกับหลินปั้นซย่า ทว่าทันทีที่เขาหยัดกายขึ้นมาได้ ใบหน้าก็พลันถอดสี เขาเอ่ยเสียงสั่นเครือ “ละ…หลินปั้นซย่า”

หลินปั้นซย่ามองเขาด้วยความแปลกใจ “มีอะไรเหรอ”

“คุณช่วยผมดูใต้เตียงหน่อยสิ?” ฝางเวินซูหน้าซีดเผือด “เหมือนจะมีอะไรจับขาผมอยู่…”

หลินปั้นซย่าส่องไฟฉายไป แล้วก็เห็นว่าใต้เตียงมีมือสีขาวซีดคู่หนึ่งยื่นออกมาจับข้อเท้าของฝางเวินซูไว้จริงๆ หลินปั้นซย่าเอ่ย “แย่ล่ะ ใต้เตียงคุณเหมือนจะมีคนอยู่”

“อะไร คนอะไร” ฝางเวินซูถาม

หลินปั้นซย่าไม่กล้าส่งเสียง เขาเดินไปข้างฝางเวินซู นั่งยองลงแล้วยื่นหน้าไป อยากดูว่าเกิดอะไรขึ้นใต้เตียงกันแน่ ฝางเวินซูเห็นการกระทำของหลินปั้นซย่าก็ตกใจ เบิกตากว้างจนกลมโต เอ่ยถามว่า “คะ…คุณไม่กลัวเลยเหรอ”

หลินปั้นซย่าชำเลืองมองเขา “ถ้าผมกลัวขึ้นมา จะให้ทิ้งคุณไว้แล้วหนีไปได้เหรอ”

ฝางเวินซูรู้สึกขายหน้า “พี่ชาย บุญคุณนี้ช่างใหญ่หลวงจนไม่อาจทดแทนได้หมด”

ด้วยแสงจากไฟฉาย หลินปั้นซย่าก็ได้เห็นสิ่งที่อยู่ใต้เตียงของฝางเวินซู เป็นคนคนหนึ่งที่หมอบอยู่ในสภาพหายใจรวยริน มือข้างหนึ่งจับขาของฝางเวินซูราวกับคว้าเส้นฟางยื้อชีวิต หลินปั้นซย่ายื่นมือเข้าไปดึงเขาออกมาจากใต้เตียง เมื่อพลิกตัวเพื่อดูหน้าอีกฝ่าย หลินปั้นซย่าก็สูดลมหายใจเย็นวาบ คนที่นอนอยู่ใต้เตียงนี้ก็คือซ่งชิงหลัว!!!

“ซ่งชิงหลัว ซ่งชิงหลัวคุณเป็นอะไรมั้ย” หลินปั้นซย่าร้องถาม

ใบหน้าของซ่งชิงหลัวซีดเผือด บนตัวบนหน้ามีรอยเลือดเกรอะกรังเต็มไปหมด นอกจากรอยเล็บสัตว์ป่าข่วนที่หน้าอกแล้ว บนหน้าท้องยังมีแผลที่ลึกเห็นกระดูกอีกด้วย เขาช้อนตาขึ้นมองแล้วเอ่ยเสียงแผ่วเบา “รีบ…รีบหนี…”

หลินปั้นซย่าถามเขาว่า “คุณมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง เกิดเรื่องอะไรขึ้น”

“หนีไปจากที่นี่…” ซ่งชิงหลัวกล่าวคำพูดนี้จบก็สลบไป

หลินปั้นซย่าร้อนรนอย่างยิ่ง เขาอยากปฐมพยาบาลให้ซ่งชิงหลัวก่อน แต่เมื่อถอดเสื้อของอีกฝ่ายแล้วก็พบว่าเนื้อตัวซ่งชิงหลัวแทบไม่เหลือเนื้อดีเลย เขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าซ่งชิงหลัวผ่านเรื่องอะไรมาบ้าง

“คุณโอเคนะ?” ฝางเวินซูกระซิบอยู่ข้างๆ “นี่เพื่อนของคุณเหรอ”

“ใช่ ใช่แล้ว” หลินปั้นซย่าร้อนใจจนเหงื่อเย็นท่วมกาย เขาอุดแผลของซ่งชิงหลัวไว้ “ไม่ได้การ แบบนี้เขาจะตายได้…”

ฝางเวินซูอยากจะพูดแต่ก็ไม่เอ่ยอะไรออกมา เห็นได้ชัดว่าเขาคิดว่าซ่งชิงหลัวหมดหนทางเยียวยาแล้ว

หลินปั้นซย่าร้อนอกร้อนใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยคิดว่าซ่งชิงหลัวตรงหน้านี้เป็นตัวปลอม แต่ว่าฝางเวินซูไม่รู้จักซ่งชิงหลัว เซอร์เก้ก็สลบอยู่ เขายิ่งไม่มีทางอยากให้ซ่งชิงหลัวได้รับบาดเจ็บเลย เช่นนั้นซ่งชิงหลัวในสภาพปางตายตรงหน้านี้จะเป็นภาพมายาจากใครได้ล่ะ อีกทั้งซ่งชิงหลัวก็บาดเจ็บจนจะถึงแก่ชีวิต ถ้าหากเป็นตัวปลอมเขาก็ควรละลายเป็นโคลนไปแล้ว

หลินปั้นซย่ากังวลสุดขีด เขากัดฟันเอ่ย “ไม่ได้การ ผมต้องพาเขากลับไปก่อน…ต่อจากนี้คุณเดินทางไปเองนะ”

ฝางเวินซูถอนหายใจ “คุณใจเย็นหน่อย กลับไปไม่ได้หรอก คุณคิดดูนะ ออกจากเมืองนี้ไปก็เป็นทุ่งกว้างไร้ที่สิ้นสุด ผ่านทุ่งไปก็ยังมีป่า ที่ป่านั่นก็ยังมีหมีที่น่ากลัวขนาดนั้นอีก คุณจะช่วยชีวิตเขาได้ยังไง…”

หลินปั้นซย่าไม่สนใจเขา ปลดกระเป๋าเป้ของตนออกมา ตั้งใจจะพันแผลให้ซ่งชิงหลัวสักเล็กน้อย

ฝางเวินซูกล่าว “แต่ว่าผมมีข้อเสนออีกอย่าง บางทีคุณจะลองดูก็ได้”

เมื่อหลินปั้นซย่าได้ยินคำพูดนี้ก็พลันเงยหน้ามองฝางเวินซูด้วยแววตาประหลาด เขากล่าว “เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ”

ฝางเวินซูกล่าว “ผมบอกว่ากลับไปก็เหมือนรนหาที่ตาย”

“ประโยคก่อนหน้านี้” หลินปั้นซย่าลุกขึ้นยืน กุมกริชในมือแน่น

“ผมบอกว่ากลับไปไม่ได้…” ฝางเวินซูเอ่ย

“ไม่ คุณไม่ได้พูดแบบนี้” หลินปั้นซย่าจับพิรุธในคำพูดของฝางเวินซูอย่างใจเย็น “คุณบอกว่าออกจากเมืองนี้ไปมีทุ่งกว้างไร้ที่สิ้นสุด ผ่านทุ่งไปก็มีป่า…ในป่ามีหมีที่น่ากลัว?”

ฝางเวินซูเอ่ยอย่างงุนงง “ทำไมเหรอ”

หลินปั้นซย่าก้าวไปข้างหน้าก้าวหนึ่ง ขวางซ่งชิงหลัวไว้ แล้วเอ่ยว่า “คุณอยู่ทีมเดียวกับหลี่ซูไม่ใช่เหรอ พวกเขาไม่ได้เจอหมี แล้วคุณจะรู้ได้ยังไงว่าในป่ามีหมี”

ฝางเวินซูเงียบขรึมไปครู่หนึ่ง “ผมไปเจอมันทีหลัง…”

“เจอทีหลัง?” หลินปั้นซย่ากล่าว “พวกคุณแยกกระจัดกระจายกันไปทั่ว ต่อให้คุณโชคดี เข้าป่าไปแล้วเจอหมีเข้า แล้วคุณหนีมันมาได้ยังไง แถมยังมาที่นี่ด้วยความเร็วที่มากกว่าและมาถึงที่นี่ก่อนพวกเราได้อีกด้วย”

ฝางเวินซูไม่ปริปากแล้ว เขาเอียงหัว เผยรอยยิ้มออกมา “เหตุผลแค่นี้คุณก็คิดว่าผมเป็นตัวปลอมแล้วเหรอ”

หลินปั้นซย่าลุกขึ้นยืน “เซอร์เก้สลบอยู่ ผมไม่มีทางอยากให้ซ่งชิงหลัวบาดเจ็บเจียนตายได้…ความเป็นไปได้เดียวก็คือ…คุณรู้จักซ่งชิงหลัวใช่มั้ย คุณคิดอะไรอยู่กันแน่ หรือพูดอีกอย่างคือ…คุณอยากให้ความปรารถนาอะไรเป็นจริง”

ฝางเวินซูนิ่งเงียบขณะมองหลินปั้นซย่า ประกายอบอุ่นในแววตาจางหายไปช้าๆ กลายเป็นความหนาวเหน็บแฝงเจตนาฆ่า เขายกปืนในมือขึ้น จ่อปากกระบอกปืนไปที่หลินปั้นซย่า เขาถอนหายใจ น้ำเสียงที่เอ่ยเต็มไปด้วยความเสียดาย “ทำไมต้องฉลาดขนาดนี้ด้วยนะ โง่หน่อยก็ดีอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ ผมไม่อยากให้มันวุ่นวายแบบนี้เลยจริงๆ”

หลินปั้นซย่าไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะทรยศ ตอนนี้ทั้งคู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งเมตร ในมือเขามีแค่กริชเล่มเดียว ถ้าฝางเวินซูลั่นไกเขาก็จะตายอยู่ตรงนี้ แต่ฝางเวินซูจะยิงปืนได้เหรอ หลินปั้นซย่านึกถึงอเล็กเซย์ขึ้นมา…ถ้าอเล็กเซย์อยากให้เขาตายจริงๆ งั้นก็เป็นเรื่องง่ายมากไม่ใช่หรือไง แค่ถือโอกาสตอนเขาหลับยิงเขานัดเดียวก็ได้แล้ว

แต่อเล็กเซย์ไม่ได้ทำ อีกฝ่ายเพียงแค่ใช้ทองมาหลอกล่อเขาเท่านั้น

ความแตกต่างนี้แสดงให้เห็นถึงกฎเกณฑ์อะไรหรือเปล่า โคลนสีดำไม่สามารถทำร้ายเขาได้โดยตรง ทำได้แค่ชักนำผ่านการปนเปื้อนทางจิตใจเท่านั้น มีเพียงสัตว์ประหลาดที่เกิดจากความปรารถนาในใจของมนุษย์ที่จะสามารถทำร้ายมนุษย์ได้เหมือนกับหมีในป่าตัวนั้น

ถ้าอย่างนั้นฝางเวินซูที่อยู่ตรงหน้านี่ล่ะ? เขาเป็นมนุษย์หรือสัตว์ประหลาดพวกนั้น เขาจะยิงฉันหรือเปล่า หลินปั้นซย่ายิ่งคิดก็ยิ่งสับสน จนกระทั่งชั่วพริบตาหนึ่งเขามองซ่งชิงหลัวที่นอนอยู่บนพื้น เมื่อโชคมาสมองพลันปราดเปรื่อง* หลินปั้นซย่ารู้ตัวแล้วว่าฝางเวินซูตรงหน้าเขามีความย้อนแย้งในตัวเองอยู่ ไม่ว่าซ่งชิงหลัวที่นอนอยู่แทบเท้าเขาคนนี้จะเป็นตัวจริงหรือตัวปลอมก็หมายความได้อย่างหนึ่งคือ…ความปรารถนาของฝางเวินซูเป็นจริงแล้ว

และเป็นเพราะความปรารถนาที่เป็นจริง ซ่งชิงหลัวถึงได้มีสภาพอย่างนี้ และในที่แห่งนี้คนที่ความปรารถนาเป็นจริงทุกคนปลายทางล้วนมีจุดจบเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

หลินปั้นซย่าเลียริมฝีปากแห้งผาก ถามฝางเวินซูไปคำถามหนึ่ง เขากล่าวว่า “คุณเป็นผลผลิตที่เกิดจากความปรารถนาใช่หรือเปล่า มีคน…อยากให้ฝางเวินซูออกไปจากที่นี่ เพราะงั้นก็เลยมีคุณขึ้นมา?”

รอยยิ้มบนหน้าฝางเวินซูหายไปโดยสมบูรณ์

 

* พาราด็อกซ์ หมายถึงตรรกะที่ถูกต้องเป็นจริงแต่มีความขัดแย้งกันอยู่ในตัวเองอย่างมีเหตุผล หรือเป็นคำพูดที่ขัดกับความคาดหวังของคนคนหนึ่ง

* ไอ้ตัวขน (毛子) เป็นคำเรียกคนรัสเซียเชิงเหยียดหยามของคนจีนตอนเหนือในสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งมีที่มาจากการที่คนรัสเซียมักแต่งกายด้วยเสื้อผ้าที่มีขนเยอะ

* ชั่ง หรือจิน เป็นหน่วยชั่งของจีน มีน้ำหนักประมาณครึ่งกิโลกรัม เป็นคำที่ยังนิยมใช้อยู่จนถึงปัจจุบัน

* เมื่อโชคมาสมองพลันปราดเปรื่อง หมายถึงเวลาที่คนเจอโอกาสที่เหมาะสม ความคิดก็จะว่องไว ตัดสินใจกระทำได้อย่างถูกต้องเหมาะสม

 

 

โปรดติดตามตอนต่อไป

ติดตามบทต่อไป ได้ในวันที่ 19 .. 65

Comments

comments

No tags for this post.
Continue Reading

More in everY

บทความยอดนิยม

everY

ทดลองอ่าน เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 Chapter 2.1-2.2 #นิยายวาย

ทดลองอ่าน เรื่อง เขตห้ามรักฉบับเบต้า เล่ม 1 ผู้เขียน : MINTRAN แปลโดย : ทันบี ผลงานเรื่อง : 배타적 연애 금지구역 ถือเป็นลิขสิทธิ์...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 1

บทที่ 1 สายฝน+ไหวพริบ ต้นฤดูใบไม้ผลิเมืองเซิ่งจิงมีฝนตกชุก ราวกับผ้าไหมผืนบางที่ปกคลุมผืนฟ้า ทำให้ลานที่รกร้างเงียบเหงาข...

ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง

ทดลองอ่าน ข้ามเวลามาเป็นแพทย์ทหารหญิง บทที่ 124

บทที่หนึ่งร้อยยี่สิบสี่ เพราะเป็นภาคเรียนสุดท้ายนักเรียนปีสี่จะจบการศึกษาในฤดูร้อนของปีนี้ การเรียนการสอนในห้องเรียนแทบจ...

คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่

ทดลองอ่าน คดีร้อนซ่อนปมรักแห่งศาลต้าหลี่ บทที่ 2

บทที่ 2 ความสงสัย+คลื่นใต้น้ำ เจ้าเมืองหลี่ตามซูโม่อี้ออกไปแล้ว หลินหวั่นชิงเห็นเงาของเขาวิ่งอยู่ไกลๆ รู้สึกว่าชุดทางการ...

ทดลองอ่าน

ทดลองอ่าน ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี บทที่ 27-1

บทที่ 27-1 หวงปอรับใช้อยู่ข้างกายฮ่องเต้มานาน แม้จะเทียบไม่ได้กับพวกไป๋ตันหย่งที่ยืนอยู่ข้างกายซ้ายขวาของฮ่องเต้มาตั้งแต...

community.jamsai.com