บทที่ 4 จอมยุทธ์หญิงวิวาห์แทนคุณหนู
โรงเตี๊ยมเหิงชางเป็นโรงเตี๊ยมที่หรูหราที่สุดในเมืองหลวง ตั้งอยู่ตรงริมสระหนานฉือ (ทักษิณ) สีเขียวหยกที่ไหลลงสู่ทิศตะวันออก* สระหนานฉือขึ้นชื่อว่าเป็นสระ แต่แท้ที่จริงแล้วเป็นทะเลสาบขนาดใหญ่ น้ำในทะเลสาบเป็นสีเขียวเข้มดุจหยก ริมฝั่งเย็นครึ้มด้วยร่มเงาของกิ่งหลิว สายลมอ่อนพัดพายเป็นระยะ ทิวทัศน์งดงามตระการตาดุจภาพวาด
ตัวโรงเตี๊ยมยังถูกออกแบบไว้อย่างพิถีพิถัน ไม่ว่าจะอาหารเครื่องดื่มหรือที่พักก็ล้วนทำให้ลูกค้าที่มาเยือนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศและความรู้สึกที่พิเศษเฉพาะตัวไปจากโรงเตี๊ยมอื่นในเมืองหลวง
ตอนกลางวันจะมีปัญญาชนในเสื้อคลุมตัวหลวมแขนกว้างมานั่งที่นี่เพื่อกินปลาที่จับจากในทะเลสาบสดๆ เดี๋ยวนั้น รับลมจากผิวน้ำพลาง จิบสุราพลาง บางครั้งยังเกิดอารมณ์สุนทรีย์ขับกลอน ‘ยามต้องทิวาผ่อง ผิวน้ำทองเป็นเลื่อมพราย ยามฝนหล่นโปรยปราย เพียงม่านแพรพรางคีรี’**
เมื่อเข้ายามราตรี หากใครมาอยู่ตรงริมหน้าต่างก็จะได้เห็นแสงไฟจากเรือประมงเป็นจุดเล็กๆ และแสงวะวับจับตาที่กระทบยอดคลื่นในทะเลสาบ บางทียังอาจได้ยินเสียงเพลงลอยแว่วมาจากลำเรือ ชวนให้หัวใจสงบผ่อนคลายยิ่งนัก
โรงเตี๊ยมเช่นนี้ย่อมมีแขกล้นหลามอย่างไม่ต้องสงสัย มิหนำซ้ำโรงเตี๊ยมเหิงชางยังขึ้นชื่อว่าหรูหราที่สุดในเมืองหลวง ใช่ว่าคนทั่วไปจะเข้าพักได้
คืนนี้หน้าประตูโรงเตี๊ยมแขวนโคมไฟขนาดใหญ่ บนโคมเขียนอักษรสั้นๆ ว่า ‘เต็ม’
ทว่าเจียงเสี่ยวเซวียนที่เดินทางรอนแรมมานับพันลี้ บัดนี้ได้เข้าพักในห้องเทียนจื้อของโรงเตี๊ยมเหิงชาง เท่านี้ก็บ่งบอกได้แล้วว่านางอยู่ในฐานะพิเศษ
ฟ้ามืดเต็มที ลมแรงพัดกระโชกอยู่ด้านนอกเหมือนบ่งบอกว่า ‘พายุใหญ่กำลังจะมาถึงในไม่ช้า’ สายลมเย็นชื่นใจในฤดูร้อนน่าจะทำให้แขกที่เข้าพักในโรงเตี๊ยมหลับสบายไปแล้วเสียส่วนใหญ่
ทว่าเจียงเสี่ยวเซวียนไม่รู้สึกง่วงเลยแม้แต่น้อย นางมองเปลวเทียนเต้นไหวบนโต๊ะแล้วถอนหายใจเฮือก เร่งมือเก็บข้าวของลงในห่อสัมภาระพลางเงี่ยหูฟังความเคลื่อนไหวด้านนอก
เสียงของสี่เอ๋อร์สาวใช้พลันดังขึ้นตรงหน้าประตู “ท่านหมอกู้ ท่านถือสมุนไพรมาทำอะไรกลางดึกกลางดื่น”
“เอ่อ…” คราวนี้เป็นเสียงประดักประเดิดของกู้ฉางเฟิง “ข้าอยากเข้าพบคุณหนูของเจ้า”
“อะไรนะ จะเข้าพบคุณหนูของข้าในเวลาเช่นนี้น่ะหรือ” สี่เอ๋อร์ทำเสียงตกอกตกใจ “คุณหนูของข้าจะต้อนรับแขกส่งเดชได้อย่างไร”
“ข้าใช่แขกที่ไหนกันเล่า ข้าคือกู้ฉางเฟิง หัวหน้าหมอประจำจวนแม่ทัพจินต่างหาก!”
สี่เอ๋อร์แค่นหัวเราะหยันๆ “ไม่ว่าท่านจะเป็นใคร คุณหนูก็ไม่มีทางยอมพบท่านแน่”
หมอหนุ่มไม่โกรธเคือง กลับอธิบายให้อีกฝ่ายฟังอย่างใจเย็น “น้องสาว คุณหนูเจียงเดินทางมาจากทางใต้ซึ่งมีอากาศอบอุ่นมาถึงทางเหนือซึ่งมีอากาศหนาวเย็นแบบปุบปับ หากร่างกายจะแสดงอาการเพราะปรับตัวไม่ทันก็เป็นเรื่องปกติ แต่พวกเราจะมองข้ามอาการเหล่านี้ไปไม่ได้ ขอเพียงคุณหนูดื่มยาของข้าตามเวลาเพื่อปรับเลือดลม ร่างกายจะต้องแข็งแรงขึ้นแน่…”
“เอาล่ะๆ!” สี่เอ๋อร์ตัดบทอย่างรำคาญเต็มแก่ “ขอเพียงรับยาเอาไว้ ท่านก็จะยอมไปใช่หรือไม่”
* ปัจจุบันคือทะเลหนานไห่ในปักกิ่ง
** ‘ยามต้องทิวาผ่อง ผิวน้ำทองเป็นเลื่อมพราย ยามฝนหล่นโปรยปราย เพียงม่านแพรพรางคีรี’ มาจากท่อนหนึ่งของบทกลอน ‘ชมทิวทัศน์ยามฟ้าใสและฝนตก’ ของซูซื่อ (ค.ศ. 1037-1101) กวีชื่อดังสมัยราชวงศ์ซ่ง เนื้อความกล่าวถึงทัศนียภาพงดงามริมทะเลสาบทั้งในยามท้องฟ้าแจ่มใสปลอดโปร่งและยามฝนตก